กฎหมายภาษี e-payment (ภาษีอีเพย์เมนต์) หรือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 ได้มีการประกาศราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค 2019 เป็นต้นไป โดยกฎหมายนี้จะกระทบกับผู้ค้าออนไลน์ที่มีการรับเงินโอนวันละจำนวนมากๆ ซึ่งไม่นานนี้เพิ่งมีผ่านร่างกฎหมายไป
มีประกาศราชกิจจานุเบกษากฎหมาย e-payment โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค 2019 เป็นต้นไป กฎหมายนี้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ โดยกำหนดให้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้กับการดำเนินการของภาครัฐเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนซึ่งรวมถึงการรับชำระเงินภาษี
โดยมีการระบุว่าจากลักษณะการทำธุรกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของภาคเอกชน ส่งผลให้การตรวจสอบและติดตามข้อมูลเพื่อการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรในปัจจุบันไม่อาจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก ให้แก่ประชาชนในการนำส่งเงินภาษี การยื่นรายการหรือเอกสารเกี่ยวกับภาษีอากร และเพื่อให้กรมสรรพากร ได้รับข้อมูลอันจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดเก็บภาษีอากร สมควรปรับปรุงวิธีการนำส่งเงินภาษีบางประเภทและการยื่นรายการหรือเอกสารเกี่ยวกับภาษีอากรให้สามารถดำเนินการด้วยวิธีการอื่นเพิ่มเติมจากที่กำหนดไวในประมวลรัษฎากรได้
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) ระบุว่าสถาบันการเงินต้องทำการรายงาน “ธุรกรรมที่มีลักษณะเฉพาะ” หากฝ่าฝืนมีการปรับจำนวนหนึ่งแสนบาท อีกทั้งยังกำหนดให้สถาบันการเงินและผู้บริการทางการเงิน ทำหน้าที่รายงานข้อมูลบุคคลที่มีธุรกรรมลักษณะเฉพาะให้กรมสรรพากร เพื่อให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอันจะเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ หากผู้มีหน้าที่รายงานไม่ปฏิบัติตาม อธิบดีกรมสรรพากรสามารถปรับไม่เกิน 100,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดช่วงเวลาที่ฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง และปรับปรุงอัตราโทษสำหรับกรณีเจ้าพนักงานเปิดเผยข้อมูลของผู้เสียภาษีอากรหรือของผู้อื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยหากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ดูฉบับเต็ม คลิกที่นี่
อ้างอิง: Prachachat
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด