บริษัท ไทยยูเนียน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศผลประกอบการประจำปี 2019 โดยมีกำไรขั้นต้นสูงถึง 20,000 ล้านบาท เติบโตราว 6.4 เปอร์เซ็นต์ ด้านกลยุทธ์ปี 2020 ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนกำไรด้วยการต่อยอดคุณค่าของผลิตภัณฑ์ และมองไปยังธุรกิจใหม่ที่ต่อยอดจากธุรกิจหลักได้ ทั้งการผลิตโปรตีนทางเลือก และการผลักดัน Food Tech Startup ให้มาตั้งโรงงานในไทย
คุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2019 ไทยยูเนียนมีกำไรสุทธิหลังหักรายการพิเศษอยู่ที่ 3,816 ล้านบาท ส่วนยอดขายอยู่ที่ 126,270 ล้านบาท โดยลดลงถึง 5.3 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากค่าเงินบาทแข็ง แต่ทั้งนี้ ปริมาณการขายของทุกธุรกิจเติบโตขึ้น 1.9 เปอร์เซ็นต์ โดยธุรกิจอาหารทะเลแช่เย็นและที่เกี่ยวข้องโตสูงสุดถึง 12.8 เปอร์เซ็นต์
สำหรับสัดส่วนยอดขายตามภูมิภาคของโลก ส่วนใหญ่ยังคงมาจากอเมริกาเหนือเป็นสัดส่วน 41 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วยยุโรป 28 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในไทยอยู่ที่ 12 เปอร์เซ็นต์ และภูมิภาคที่เหลืออื่นๆ ที่ 18 เปอร์เซ็นต์
ด้านการพัฒนานวัตกรรม Thai Union ได้จับมือกับ NIA และมหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งโครงการ Space-F ซึ่งเป็น Incubator และ Accelerator สำหรับ Startup ด้าน Food Tech โดยเฉพาะ ซึ่งได้คัดเลือก Startup 23 รายจาก 6 ประเทศมาเข้าร่วมโครงการ
สำหรับการผลักดันด้านนวัตกรรมอาหาร คุณธีรพงศ์ กล่าวเสริมว่า เมื่อปี 2019 Thai Union ได้ตั้งกองทุนเพื่อลงทุนใน Startup ด้าน Food Tech เป็นมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และได้เริ่มลงทุนไปแล้วเป็นมูลค่ารวม 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยนอกจากการลงทุนแล้ว ยังสนใจต่อยอดธุรกิจเชิงกลยุทธ์ด้วยการสนับสนุน Startup ที่มีศักยภาพในการผลิตอาหารมาตั้งโรงงานผลิตที่ไทย ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นพูดคุยถึงความเป็นไปได้ดังกล่าวกับ Startup ด้าน Food Tech จากอิสราเอล
ด้านกลยุทธ์ในปี 2020 Thai Union ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนกำไร เนื่องจากยอดขายในปีนี้อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากจากสภาพเศรษฐกิจโลก ทั้งยังพร้อมผลักดันธุรกิจใหม่โดยมองไปที่ส่วนผสมสารอาหารจากอาหารทะเล (Marine Ingredient) โปรตีนจากแหล่งทางเลือก (Alternative Protien) และผลิตภัณฑ์ใหม่จาก Global Innovation Center
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด