ในขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเร่งพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัล ประเทศไทยก็ไม่ยอมนิ่งนอนใจ ล่าสุดสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (สภาดิจิทัลฯ) นำโดย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสผู้ร่วมก่อตั้ง และ ม.ร.ว. นงคราญ ชมพูนุท ประธานสภาดิจิทัลฯ พร้อมด้วย รองประธานสภาดิจิทัลฯ นายลักษมณ์ เตชะวันชัย ดร.วีระ วีระกุล นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ นางเขมนรินทร์ รัตนาอัมพวัลย์ นายประกอบ จ้องจรัสแสง และ ว่าที่ร้อยตรี ดร. ธเนศ โสรัตน์ และ ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการสภาดิจิทัลฯ ได้เข้าพบ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อหารือแนวทางการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลแห่งภูมิภาค
แม้ว่าประเทศไทยจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในการจัดอันดับ IMD World Digital Competitiveness Ranking 2023 โดยขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 35 ของโลก แต่นายศุภชัย เจียรวนนท์ ได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยยังคงเผชิญความท้าทายสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะการตามหลังประเทศเพื่อนบ้านในด้านนวัตกรรมและจำนวนสตาร์ทอัพ
ปัญหาหลักที่ต้องเร่งแก้ไขคือการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี รวมถึงการขาดการสนับสนุนจากภาครัฐในโครงการสำคัญ เช่น Accelerator และ Seed Fund ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่ง
ม.ร.ว. นงคราญ ชมพูนุท ได้นำเสนอแผนการขับเคลื่อนที่ครอบคลุม 4 มิติสำคัญ ได้แก่
แนวทางที่เป็นรูปธรรมในการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศ คือการสร้าง Innovation Clusters อย่างน้อย 5 แห่งทั่วประเทศ โดยจะเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างฐานการพัฒนานวัตกรรมที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งส่งเสริมการลงทุนในด้านการศึกษาและวิจัย
นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาโครงการ Smart City และ Smart School โดยนำโมเดลความสำเร็จจากเมืองเสินเจิ้นมาปรับใช้ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมสื่อที่มีคุณธรรมและจริยธรรมในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ เพื่อสนับสนุน Soft Power ของไทยในเวทีโลก
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้ประกาศแนวทางการสนับสนุนที่สอดคล้องกับนโยบาย Growth Engine of Thailand โดยเน้นการพัฒนา 3 ด้านหลัก ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลผ่านการพัฒนา Data Center และ AI รวมถึงระบบรัฐบาลดิจิทัล การสร้างความปลอดภัยในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านการจัดการข้อมูลและความปลอดภัยไซเบอร์ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรดิจิทัลเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
การประชุมครั้งนี้ได้นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลภายใน 3 ปี โดยจะมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสภาดิจิทัลฯ กระทรวงดิจิทัลฯ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA)
พร้อมกันนี้ สภาดิจิทัลฯ จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการ Soft Power แห่งชาติ เพื่อช่วยขับเคลื่อนศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลก โดยจะมีการติดตามและรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งภาครัฐและเอกชนในการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งภูมิภาค ด้วยการวางรากฐานที่แข็งแกร่งในทุกมิติ ตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม ไปจนถึงการพัฒนาบุคลากรดิจิทัลที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด