สื่อญี่ปุ่นลือ Toyota และ BMW เตรียมก้าวสู่ Next Step ของรถยนต์พลังงานสะอาด ! ประกาศยกระดับความร่วมมือในการพัฒนารถยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) เนื่องจากทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่มองว่า FCEV จะเป็นยานยนตร์ที่เป็นมิตรต่อโลกโมเดลต่อไป ท่ามกลางความนิยมในรถ EV ที่เริ่มลดลง

ญี่ปุ่น ยุโรป รวมพลังสู้ศึกพลังงานสะอาด

สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า บริษัท Toyota และ BMW จะเซ็น MOU กันอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะประกาศเรื่องนี้ในงานแถลงข่าวของ BMW ในวันที่ 5 กันยายน 2024 

หากย้อนไป 12 ปีที่แล้ว ทั้ง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์เคยประกาศความร่วมมือในการพัฒนารถยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2012 แล้ว แต่ในตอนนั้นบทบาทของ Toyota ค่อนข้างน้อย เพียงแค่จัดหาชิ้นส่วนเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

การกลับมาทำ MOU อีกครั้ง จึงเป็นการยกระดับความร่วมมือเดิม โดยให้ Toyota ได้มีบทบาทมากขึ้นในการพัฒนารถยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงร่วมกันกับ BMW 

เนื่องจาก Toyota ถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้ หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นคือรถซีดานขนาดกลางรุ่น Mirai ที่เปิดตัวตั้งแต่ 2014 ซึ่งนำหน้าคู่แข่งทั่วโลก โดยรถรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงที่ผสมผสานไฮโดรเจนและออกซิเจนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า 

ในความร่วมมือใหม่ Toyota จะรับหน้าที่จัดหาชิ้นส่วนสำคัญๆ ในการพัฒนา FCEV เช่น ถังไฮโดรเจน และระบบเซลล์เชื้อเพลิง ต่อจากนั้น BMW จะนำเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่พัฒนาขึ้นเอง โดยเฉพาะระบบขับเคลื่อน มาผลิตส่วนประกอบอื่น ๆ ของรถยนต์ 

Next Step ของรถยนต์พลังงานสะอาด

ก่อนหน้านี้ BMW เคยพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน รุ่น iX5 Hydrogen ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2021 รถ FCEV รุ่นนี้ติดตั้งถังไฮโดรเจน 2 ถังและสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 500 กิโลเมตร รวมถึงยังสามารถเติมเชื้อเพลิงได้ภายในเวลาเพียง 3-4 นาที ซึ่งทาง BMW ก็วางแผนที่จะเริ่มผลิต iX5 Hydrogen อีกจำนวนมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า 

การยกระดับความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นแพลนที่ Toyota และ BMW จะทำงานร่วมกันและแบ่งปันชิ้นส่วนสำคัญที่มีต้นทุนการผลิตสูง เพื่อให้ยานยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงมีราคาถูกลง ซึ่งสำหรับการผลิตรถรุ่น iX5 Hydrogen ตามแผนของ BMW บริษัทก็จะนำระบบเซลล์เชื้อเพลิงของ Toyota มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการพัฒนาและการผลิตของ BMW ได้ 

อ้างอิง: asia.nikkei