‘นโยบายวีซ่า H-1B’ กำลังกระทบงานเทคฯ? กำแพงแสนเหรียญของทรัมป์ อาจกระทบ Tech Worker ไทยในอเมริกา

แรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นในใจกลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในประกาศนโยบายใหม่ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการแข่งขันไปตลอดกาล นั่นคือการเพิ่มค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ยื่นขอวีซ่า H-1B ซึ่งเป็นใบเบิกทางสำคัญสำหรับแรงงานทักษะสูงจากทั่วโลก เป็นเงินสูงถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ นโยบายนี้ได้สร้างเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างผู้เล่นรายใหญ่และรายย่อยในซิลิคอนแวลลีย์ทันที

ทางออกที่ยอดเยี่ยม vs หายนะของบริษัทเล็ก

Selin Kocalar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Delve สตาร์ทอัพ AI ที่ระดมทุนไปแล้ว 35 ล้านดอลลาร์ คือหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เธอแสดงความกังวลอย่างหนักถึงอนาคตการจ้างงานของบริษัทที่มีพนักงานเพียง 23 คน ‘ในฐานะสตาร์ทอัพ เงินทุนของคุณจะตึงตัวอยู่เสมอ เราไม่สามารถออกไปใช้เงินจำนวนมากหรือมีความหรูหราแบบที่คุณเห็นในบริษัทใหญ่ๆ ได้’ Kocalar กล่าว คำพูดของเธอสะท้อนความรู้สึกของสตาร์ทอัพจำนวนมากที่ต้องคิดคำนวณทุกดอลลาร์ที่จ่ายไป

ในขณะที่สตาร์ทอัพกำลังปวดหัวกับตัวเลขมหาศาลนี้ Reed Hastings ประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง Netflix กลับมองสวนทางอย่างสิ้นเชิง เขาโพสต์ข้อความสนับสนุนนโยบายนี้ว่า ‘เป็นทางออกที่ยอดเยี่ยม’ โดยให้เหตุผลว่า ‘มันจะทำให้วีซ่า H-1B ถูกใช้สำหรับงานที่มีมูลค่าสูงจริงๆ เท่านั้น’ ท่าทีดังกล่าวไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับบริษัทที่มีรายได้กว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียว ค่าธรรมเนียมแสนเหรียญจึงอาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวของงบประมาณเท่านั้น

ปฏิกิริยาที่แตกต่างกันนี้ ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่กำลังจะเกิดขึ้น บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ที่มีเงินทุนมหาศาลสามารถดูดซับต้นทุนใหม่นี้ได้อย่างสบายๆ ตรงกันข้ามกับสตาร์ทอัพที่ต้องพึ่งพาทุกความได้เปรียบเพื่อความอยู่รอด นโยบายนี้จึงอาจกลายเป็นการสร้างการแบ่งขั้วของ ‘ผู้ที่มี และ ผู้ที่ไม่มี’ อย่างสมบูรณ์

Aizada Marat ซีอีโอของ Alma สตาร์ทอัพด้านกฎหมายคนเข้าเมือง ยืนยันถึงผลกระทบที่ไม่เท่าเทียมนี้ว่า ‘นี่จะเป็นผลกระทบที่รุนแรงกว่าสำหรับบริษัทขนาดเล็ก เพราะเราไม่สามารถแข่งขันกับ OpenAI และ Meta ได้’ เธอกล่าวเสริมว่าหากนโยบายนี้ยังคงอยู่ บริษัทของเธอซึ่งพึ่งพาแรงงานต่างชาติ จะไม่สามารถจ้างบุคลากรผ่านช่องทาง H-1B ได้อีกต่อไป

สหรัฐฯ เสี่ยงเสียบัลลังก์ผู้นำเทคโนโลยี

ผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องเงิน แต่ยังลุกลามไปถึงอนาคตของนวัตกรรมในสหรัฐฯ Silicon Valley เติบโตขึ้นมาได้จากกระแสของสตาร์ทอัพที่สร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ และท้าทายผู้เล่นรายเดิม การบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของสตาร์ทอัพ จึงเท่ากับเป็นการบั่นทอนหัวใจของระบบนิเวศเทคโนโลยีของประเทศ และอาจส่งผลเสียต่อความเป็นผู้นำในเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันด้าน AI ที่ดุเดือดกับจีน

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มองโลกในแง่ร้าย Trevor Traina อดีตทูตในสมัยรัฐบาลทรัมป์ มองว่านี่อาจเป็นเพียงข้อเสนอเริ่มต้นเพื่อเปิดประเด็นการปฏิรูปกฎหมายคนเข้าเมืองในระยะยาว

แต่สำหรับนักลงทุนอย่าง Bilal Zuberi จาก Red Glass Ventures เรียกนโยบายนี้ว่า "เป็นการยิงเท้าตัวเองแท้ๆ" พร้อมประเมินว่าบริษัทที่เขาเคยลงทุนไปราว 30-40 แห่งจะได้รับผลกระทบโดยตรง Zuberi ชี้ว่าสตาร์ทอัพอาจต้องหาทางรอดอื่น เช่น การยื่นขอวีซ่าประเภท O-1 สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ หรือแม้กระทั่งการตั้งออฟฟิศในแคนาดาเพื่อจ้างงานทางไกล ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสมองไหลไม่ได้จำกัดอยู่แค่การย้ายประเทศ แต่ยังรวมถึงการย้ายตำแหน่งงานออกไปนอกสหรัฐฯ ด้วย

‘ผมไม่คิดว่าคำตอบสำหรับบริษัทเหล่านี้จะเป็น โอ้ ทำไมเราไม่จ้างคนอเมริกันล่ะ?’’ Zuberi ทิ้งท้าย เป็นการตอกย้ำว่าการแข่งขันในโลกเทคโนโลยีนั้นต้องการบุคลากรที่ดีที่สุด โดยไม่จำกัดสัญชาติ และนโยบายล่าสุดนี้อาจกำลังผลักไสบุคลากรเหล่านั้นให้ออกไปไกลจากสหรัฐฯ มากขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับคนไทย สถานการณ์นี้เป็นทั้ง วิกฤตและโอกาส เส้นทางสู่ Silicon Valley ในรูปแบบเดิมอาจจะจบลงแล้ว แต่มันก็ได้เปิดประตูสู่เส้นทางใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกไปทำงานในประเทศอื่น อาทิ แคนาดา, การทำงานระยะไกล หรือ การนำความสามารถกลับมาพัฒนาวงการเทคฯ ในไทยเอง นโยบายนี้กำลังบังคับให้ทั้งบริษัทและบุคลากรต้องคิดนอกกรอบ และผู้ที่ปรับตัวได้เร็วที่สุดเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะในเกมใหม่นี้

ที่มา: The New York Times

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ซีอีโอ AWS ชี้ AI Agents จะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ต เราอาจได้เห็น AI Agent พันล้านตัวรันองค์กร

AWS ซีอีโอประกาศชัด AI Agents จะสร้างผลกระทบต่อโลกธุรกิจยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและ Cloud พร้อมเปิดยุคที่ ‘AI Agent พันล้านตัว’ ทำงานอัตโนมัติอยู่หลังองค์กรทั่วโลก เร่งผลตอบแทนทางธุรกิ...

Responsive image

วิกฤตสมองไหลใน Apple ไม่จบ ! ล่าสุด Meta ดึงตัว Alan Dye หัวหน้าทีมดีไซน์ Apple ผู้คุมออกแบบ Liquid Glass ใน iOS26

เจาะลึกสมองไหลใน Apple ปี 2025 เมื่อผู้เชี่ยวชาญ AI หลายคนย้ายไป Meta, OpenAI และ Cohere ส่งผลต่ออนาคต Apple Intelligence...

Responsive image

เจาะแผน 'Quick Win' รัฐ-เอกชน ผนึกกำลังดันครีเอเตอร์ไทยสู่อาชีพมั่นคง

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยน เมื่อเรากลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ 'ยอดผู้ใช้งาน TikTok แซงหน้า YouTube' อย่างชัดเจน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขอ...