หลังจากก่อนหน้านี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ได้รายงานผลประกอบการปี 2563 ไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤต COVID-19 ด้วยกลยุทธ์การปรับตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้องค์กรสามารถก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ และวันนี้เราจะพาไปดูแผนดำเนินธุรกิจของ TU ในระยะ 5 ปี (2564-2568) ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
คุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU กล่าวว่า ในปี 2563 นับเป็นปีที่บริษัทฯต้องเผชิญกัยบสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มจากต้นปีที่ดูเหมือนจะเป็นปกติทั่วไป จนกระทั่ง COVID -19 แพร่ระบาดและกลายเป็นความท้าทายแบบที่บริษัทฯไม่เคยประสบมาก่อน เมื่อสถานการณ์เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นบริษัทฯจึงทำงานกันอย่างรวดเร็ว โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและสุขภาพของพนักงานทั่วโลก สิ่งสำคัญอีกประการคือ supply chain ที่ต้องปรับให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อบริษัทฯจะสามารถส่งสินค้าคุณภาพให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับปี 2564 บริษัทฯมองว่าจะเป็นอีกปีที่มีทั้งโอกาสและอุปสรรคสืบเนื่องจาก COVID-19 ที่ส่งผลต่อธุรกิจและการดำเนินชีวิตของคนทั่วโลก ปีที่ผ่านมาริษัทฯถือว่าประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการ ซึ่งทำให้องค์กรอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งมากขึ้นและมีความพร้อมในการจัดการกับสิ่งต่างๆที่รออยู่ในปีนี้ละปีต่อๆไป ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปแล้วเมื่อทุกคนต้องปรับตัวกับ ' New Normal ' ซึ่งบริษัทฯต้องเตรียมตัวให้พร้อมหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต สำหรับกลยุทธ์ในปีนี้ บริษัทฯจะเน้นความสามารถในการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเหมือนปีที่ผ่านมา พร้อมผสานความร่วมมือในทุกหน่วยงานธุรกิจเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทฯ
และถึงแม้ว่า COVID-19 จะเป็นจุดสนใจของผู้คนในปีที่ผ่านมา แต่บริษัทฯได้ตระหนักดีว่าธุรกิจของบริษัทฯจะต้องเข้มแข็งในทุกๆด้านและมองไปยังอนาคต ดังนั้นตลอดปีที่ผ่านมาบริษัทฯยังคงทำงานด้วยเป้าหมายในรื่อง ' Healthy Living , Healty Oceans ' โดยให้ความสำคัญในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีและอนุรักษ์ธรรมชาติของท้องทะเลไปพร้อมกัน ด้วยการทำงานด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทนมีกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน คือ SeaChange ซึ่งยังคงเป็นแนวคิดที่บริษัทฯใช้ผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอาหารทะเลทั่วโลก
นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญสู่การเติบโตในอนาคต และเป็นเหตุผลที่บริษัทฯมีการลงทุนด้านนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกสู่ตลาด โดยบริษัทฯเน้นให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกและจะเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ทำให้ภาพธุรกิจอาหารทะเลของบริษัทฯสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่วนธุรกิจส่วนประกอบอาหาร (Ingredients) ที่ผลิตจากอาหารทะเลธรรมชาติ ยังคงมีบทบาทต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่มีเพิ่มมากขึ้น
นอกเหนือจากนวัตกรรมต่างๆที่บริษัทฯนำเข้ามาใช้แล้ว บริษัทฯยังเปิดกว้างในด้านความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุผลที่บริษัทฯเดินหน้าสนับสนุนโครงการสเปซ-เอฟ อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยโครงการสเปซ-เอฟ เป็นโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตทางธุรกิจเทคโนโลยีอาหารระดับโลกที่บริษัทได้ร่วมก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ของ Startup และนวัตกรรมให้เกิดขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับความสนใจจาก Startup ทั่วโลก
สำหรับแผนการเติบโตต่อจากนี้บริษัทฯจะมุ่งเน้นการสร้างกำไรมากกว่ารายได้ ด้วยการพัฒนาระบบอัตโนมัติ (automation) ต่างๆที่จะช่วยเข้ามาลดต้นทุนและทำให้บริษัทฯมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆและกำจัดธุรกิจที่ไม่สร้างกำไรให้แก่บริษัทฯออกไป ขณะที่รายได้รวมบริษัทฯตั้งเป้าเติบโต 5% ต่อปี และคาดว่าจะสามารถมีรายได้แตะ 160,000 ล้านบาท ภายในปี 2568
ขณะที่งบลงทุนปกติบริษัทฯจะวางไว้ที่ประมาณ 4,000-4,500 ล้านบาทต่อปี ส่วนในปี 2564 เป็นปีที่มีการวางงบลงทุนมากกว่าปกติเนื่องจากมีการลงทุนในโครงการใหม่ โดยบริษัทฯวางงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 6,000-6,500 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับโครงการโปรตีนจากพืช จำนวน 800 ล้านบาท โครงการอาหารสำเร็จรูป 1,000 ล้านบาท สร้างห้องเย็นที่ประเทศกานา (Ghana) จำนวน 11 ล้านดอลาร์สหรัฐฯ ส่วนที่เหลือใช้สำหรับรองรับปรับปรุงเครื่องจักรในโรงงานของบริษัทฯที่มีอยู่ทั่วโลก
สำหรับอีกหนึ่งธุรกิจใหม่ที่บริษัทฯสนใจคือ Plant-based Food โดยบริษัทฯว่าจะสามารถเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคได้ โดยปัจจุบันกระแสรักสุขภาพและลดโลกร้อนกำลังมาแรง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่ค่อนข้างให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งธุรกิจนี้บริษัทฯจะเน้นการทำ OEM เนื่องจากปัจจุบันมีบริษัทฯมีความสามรถในการผลิตรวมถึงมีฐานลูกค้าที่ค่อนข้างดี
นอกจากนี้ยังได้ทำแบรนด์สินค้า Plant-based Food ของตัวเองเช่นเดียวกัน ชื่อแบรนด์ว่า 'OMG' ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 15 มีนาคมนี้ ที่เดอะมอลล์ เบื้อต้นบริษัทฯจะจำหน่ายสินค้าในประเทศไทยก่อน หลังจากนั้นจะขยายสู่ตลาดต่างประเทศโดยจะเน้นที่ภูมิภาคเอเชีย
นอกเหนือจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจกัญชง เพื่อนำสารสกัดจากกัญชงมาเป็นส่วนประกอบในอาหารกระป๋อง เช่น การทำทูน่ากระป๋องในน้ำมันกัญชง เป็นต้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องรอกฏหมายออกมาให้ชัดเจนก่อนเนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการอนุญาตให้นำกัญชงเข้ามาเป็นส่วนประกอบในอาหารแบบบรรจุปิดได้ ซึ่งระหว่างนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างจัดทำระบบหลังบ้านรอหากมีกฏหมายออกมาชัดเจนบริษัทฯก็พร้อมที่จะทำทันที
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด