ปัจจุบันสถานการณ์ของอีคอมเมิร์ชในอินเดียเรียกได้ว่ากำลังเฟื่องฟู ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้น นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อขายคนอินเดีย รวมถึงการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายแก่ผู้ค้า อย่างไรก็ตามผู้เล่นเจ้าใหญ่อย่าง Amazon มีบทบาทผูกขาดในสนามอีคอมเมิร์ชอินเดีย เป็นผลให้รัฐบาลอินเดียเข้ามามีบทบาทในการจัดวางโครงสร้างเพื่อช่วยเหลือผู้ค้าในประเทศไม่ให้เสียผลประโยชน์ ล่าสุดภาครัฐนำทีมจัดตั้ง ONDC "Open Networl for Digital Commerce" ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับตลาดธุรกิจออนไลน์ในอินเดีย
อินเดียมีฐานผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตขนาดใหญ่และมีตลาดออนไลน์ที่กำลังเติบโต และยังคงขยายตัวสู่ตลาดชนบทในเมืองต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น แพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยให้ทำธุรกรรมการจับจ่ายใช้สอยและจัดส่งสะดวกขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการซื้อของผู้บริโภคชาวอินเดียอย่างค่อยเป็นค่อยไปส่งผลให้ตลาดอีคอมเมิร์ซมีโอกาสในการเติบโตสูงมาก ตามรายงาน อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของอินเดียมีผู้เล่นหลัก ได้แก่ Amazon, Flipkart ที่เป็นสองผู้เล่นหลัก Snapdeal, Paytm, Myntra และอื่น ๆ
การค้าปลีกของอินเดียนั้นนำโดยอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ โดยอินเดียมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 560 ล้านคน และถือเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกในแง่ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต แซงหน้าสหรัฐอเมริกาโดยมีการรายงานว่าในปี 2027 การค้าขายอีคอมเมิร์ซในอินเดียจะมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการแข่งขันของตลาดอีคอมเมิร์ซในอินเดียนั้น เรียกได้ว่ามีความรุนแรงมาโดยตลอด จากการต่อสู้กันสองแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์อเมริกันอย่าง Amazon และ eBay อย่างไรก็ตามเมื่อคู่แข่งอย่าง eBay ได้เปลี่ยนเป้าหมายที่จะตีตลาดในภาคพื้นเอเชียมากกว่าตลาดของอินเดีย จึงทำให้ Amazon ครองตลาดออนไลน์มาโตยตลอด
การเข้ามาของ Amazon นั้นทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคในอินเดียเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เนื่องจากความหลากหลายของสินค้า ราคา และคุณภาพที่เทียบเคียงกับท้องตลาดปกติได้ จึงเป็นผลให้ผู้บริโภคให้ความสนใจและมีความจงรักภักดีกับ Amazon มากขึ้น ก่อนที่จะถูก Flipkart ซึ่งเป็นกิจการภายใต้อำนาจของ Walmart ล้มแชมป์ไปเมื่อปลายปี 2021 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้มีรายงานการร้องเรียนจำนวนมากจากผู้ขายท้องถิ่นซึ่งกล่าวหาว่าแพลตฟอร์มมีการกำหนดราคาที่ไม่เหมาะสม การตัดราคาระหว่างร้าน การสมรู้ร่วมคิดกับผู้ขาย หรือในกรณีร้านประเภทที่เป็นเครือเดียวกับผู้จัดจำหน่ายหรือเป็นเจ้าของสินค้าคงคลังผ่านเครือข่ายบริษัทโฮลดิ้งของตนเอง
ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการอีคอมเมิร์ซของอินเดียหลายรายกล่าวว่าธุรกิจออนไลน์จากต่างประเทศจะกลายเป็ยภัยคุกคามระยะยาวต่อธุรกิจออนไลน์ของอินเดีย หากว่ารัฐบาลอินเดียได้อนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจออนไลน์ได้อย่างเสรี ทำให้ตอนนี้นโยบายกีดกันการลงทุนจากต่างประเทศของอินเดียยังคงมีใช้อยู่ตามเดิม ซึ่งทำให้การตกลงระหว่าง SEA บริษัทแม่ของ Garena และ Shopee ไม่ประสบความสำเร็จ และต้องระงับการให้บริการในอินเดียหลังจากเปิดให้บริการเพียง 6 เดือนหลังจากเปิดตัว Shopee ในอินเดียเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ค้าปลีกในท้องถิ่นในประเทศ The Confederation of All India Traders (CAIT)
ONDC หรือ Open Network for Digital Commerce จัดตั้งขึ้นในฐานะหน่วยงานไม่แสวงกำไร โดย Department for Promotion of Industry and Internal Trade (DPIIT) ภายใต้สภาอินเดียเป็นผู้สนันสนุน
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำโครงสร้างดิจิทัลขั้นพื้นฐานในการขยายการจัดการด้านระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซของประเทศอินเดีย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความหลากหลายและขยายการเข้าถึงตลาดดิจิทัลที่ครอบคลุมสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและผู้ค้าหลายล้านรายในประเทศ ทำให้ผู้ค้าปลีกรายย่อยและร้านค้าทั่วไปหลายล้านรายได้รับโอกาสในการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน เป็นทางเลือกนอกเหนือจากแพลตฟอร์ม Amazon และ Flipkart ที่เป็นเจ้าของโดย Walmart ซึ่งผูกขาดตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดียมาจนถึงปัจจุบัน
ONDC เปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2022 โดยเริ่มนำร่องให้บริการใน 5 เมือง ได้แก่ เขตเมืองหลวงเดลี โภปาล เบงกาลูรู ชิลลอง และโคอิมบาโตร์ มุ่งเน้นไปที่ร้านค้าปลีก โดยในอินเดียจะเรียกว่าร้านค้าลักษณะนี้ว่า Mom-and-Pop Shop หรือ Kirana ในภาษาอินเดีย
รวมถึงร้านอาหารทั่วไป และการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมแบบเรียลไทม์ ซึ่งหลังจากที่เครือข่ายมีความเสถียรภาพแล้ว ตั้งเป้าที่จะขยายไปยัง 100 เมืองทั่วอินเดียภายในเดือนตุลาคม 2565 เพื่อรองรับผู้ขาย 30 ล้านรายและผู้บริโภคจำนวนกว่า 10 ล้านคนทางออนไลน์
ONDC จะดูแลตั้งแต่ B2C รวมถึง B2B โดยเปลี่ยนธุรกิจทั้งหมดตั้งแต่สินค้าขายปลีก อาหาร ไปจนถึงระบบการขนส่งให้อยู่บนเครือข่ายแบบเปิด (Open-Source Network) ไม่ว่าจะใช้งานผ่านแพลตฟอร์มใดก็ตาม โดย ONDC จะทำการรวบรวมข้อมูลเพื่อช่วยผู้ซื้อเข้าถึงร้านค้าที่ใกล้ที่สุดโดยผู้ใช้สามารถทำการค้นหาผู้ขาย ผลิตภัณฑ์บริการ ผ่านแพลตฟอร์มของ ONDC ที่อ้างว่ามีความเป็นกลาง
โดยจะส่งเสริมเครือข่ายแบบเปิดที่พัฒนาขึ้นบนวิธีการแบบโอเพนซอร์ส โดยใช้ข้อกำหนดแบบเปิดและโปรโตคอลเครือข่าย และไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์มเฉพาะใดๆ สำหรับการทำรายการจับคู่ผู้ขาย และการค้นหาราคาบนพื้นฐานโอเพนซอร์ส เช่น Unified Payments Interface (UPI) โดยผู้ซื้อและผู้ขายสามารถทำธุรกรรมบน ONDC ได้โดยไม่คำนึงว่าถึงการลงทะเบียนกับแพลตฟอร์มผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซเฉพาะใดๆ เช่น แม้ว่าผู้ขายลงทะเบียนขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม A ในขณะที่ผู้บริโภคลงทะเบียนบนแพลตฟอร์ม B ผู้บริโภคสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้ขายได้โดยตรงโดยไม่ต้องลงทะเบียนบนแพลตฟอร์ม A จากเครือข่าย ONDC
โดยล่าสุดสื่ออินเดียเปิดเผยว่าสถาบันการเงินภาครัฐรวมถึงธนาคารพาณิชย์กว่า 24 แห่ง เข้าถือหุ้นใน ONDC และบริษัทเอกชนอีกประมาณ 80 แห่งแสดงความต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการผลิตซอฟต์แวร์และแอพสำหรับองค์กรสำหรับผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ รวมถึงผู้ให้บริการเกตเวย์เพื่อการชำระเงิน
ไม่ว่าจะเป็น Government e Marketplace (GeM), India Post, BHIM, Google Pay, PhonePe, Microsoft, Tally, Zoho, FarEye และสหพันธ์พนักงานไอทีของอินเดียทั้งหมดเพื่อขยายการดำเนินงานในระดับชาติ โดย Paytm, Dunzo, Sellerapp, Gofrugal, GrowthFalcons, eSamudaay และ Goodbox ซึ่งอยู่ในขั้นตอนที่วางแผนบูรณาการร่วมกับ ONDC เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่ผ่านมาโทรศัพท์ระบบ Android นั้นครองใจผู้ใช้งานในอินเดียมาตลอด โดยข้อมูลจาก Statista ระบุในปี 20211 Android OS มีสัดส่วนใช้งานถึง 95.84 รองลงมาคือ iOS ของ Apple โดยมีส่วนแบ่งตลาด 3.1% โดยระบบปฏิบัติการ Android เพิ่มขึ้นมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ภายในสี่ปี เป็นผลให้ระบบปฏิบัติการ Google Mobile Service (GMS) นั้นถูกใช้งานมากกว่าระบบอื่น ๆ
โดยหนึ่งในบริการจาก GMS ที่สำคัญต่อผู้ใช้งานโทรศัพท์ระบบ Android นั้นคือ Google Pay ซึ่ง Google Pay เป็นบริการธุรกรรมแบบออนไลน์ ที่จะสามารถนำบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตมาผูกกับ Google Account และเมื่อต้องการชำระเงินก็สามารถเลือกจ่ายด้วย Google Pay ได้ทันที รวมถึง Google ยังได้เพิ่มขีดความสามารถในการชำระเงินใหม่ด้วยระบบ Near Field Communication (NFC) ที่จะช่วยให้การชำระเงินง่ายขึ้นเพียงแตะหรือสัมผัสโทรศัพท์ กับเครื่องอ่านเพียงเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ Google จึงตัดสินใจที่เข้าเจรจากับรัฐบาลของอินเดียเพื่อที่จะขอเข้าร่วมในโครงการ ONDC โดยมีจุดประสงค์ก็เพื่อที่จะมุ่งเน้นไปที่การทำให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากดิจิทัล เพื่อเป็นขั้นกว่าของการค้นหาและการชำระเงินด้วย Google Pay
T. Koshy ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ONDC กล่าวว่า Google นั้นเป็นหนึ่งในบริษัทที่อยู่ในระหว่างการเจรจาหารือเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว และอาจจะมีแนวโน้มที่ดีเพราะธุรกิจการชำระเงินจาก Google นั้นสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลอินเดียซึ่งเกี่ยวกับการทำธุรกรรมแบบ Unified Payment Interface (UPI)
Paytm ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคพาร์ทเนอร์ใน ONDC ได้กล่าวว่า บนแพลตฟอร์มจะมีการแสดงรายการที่เกี่ยวข้องกับผลการค้นหา โดยเป้าหมายของรัฐบาลคือการปรับระดับของการแข่งขันในโลกธุรกิจ ด้วยการลดทุนให้ผู้ขายที่มีความต้องการจะลงสินค้าในโลกออนไลน์ แต่ในส่วนการจัดลำดับความสำคัญของสินค้าในแพลตฟอร์มนั้นยังคงเป็นที่กังวลต่อไปว่าจะสามารถทำได้อย่างไร
“กลไกของแพลตฟอร์มธุรกิจออนไลน์คือผู้ที่มียอดขายสูงสุด หรือมีคะแนนรีวิวที่มากที่สุด จะถูกจัดให้อยู่เป็นลำดับของการค้นหาเสมอ ซึ่งจะขัดแย้งกับนโยบายการปรับระดับของการแข่งขันในโลกธุรกิจของอินเดีย” Mahesh Narayanan อดีตหัวหน้าธุรกิจโฆษณาบนมือถือของ Google กล่าวเสริม
นี่จึงที่น่าติตตามต่อไปว่าความร่วมมือขนาดใหญ่จากหลายภาคส่วนในอินเดียจะสามารถรักษาสมดุลในการทำข้อตกลงร่วมกับนักลงทุนและธุรกิจจากต่างชาติ และบรรลุวัตถุประสงค์และส่งเสริมศักยภาพของระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซอินเดียได้หรือไม่
อ้างอิง Business World , Pymnts , EconomicTimes , TimesofIndia
AndroidAuthority , Google Pay Help , Inc42
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด