
นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย RMIT ในออสเตรเลีย กำลังพัฒนายาหยอดตาตัวใหม่ เพื่อใช้รักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมและเบาหวานขึ้นตา
ยาหยอดตานี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้แทนการฉีดยาเข้าลูกตาโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีรักษาในปัจจุบันที่ทั้งเจ็บตัว มีค่าใช้จ่ายสูงและผู้ป่วยต้องมาฉีดซ้ำบ่อยๆ สาเหตุที่ต้องฉีดยาเข้าตาโดยตรง เพราะยาหยอดตาทั่วไปไม่สามารถซึมเข้าไปถึงเรตินาได้ ขณะเดียวกันการกินอาหารเสริมอย่างลูทีนก็ออกฤทธิ์ช้าและยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าช่วยเพิ่มปริมาณลูทีนในจอประสาทตาได้จริง ทำให้การฉีดยายังคงเป็นวิธีเดียวที่ได้ผลในตอนนี้
นักวิจัยกลุ่มนี้ใช้สารที่ชื่อว่า "ลูทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่แล้วในผักใบเขียวต่างๆ มาเป็นตัวยาหลัก แต่ปัญหาคือจะส่งมันเข้าไปถึงจอประสาทตาได้ยังไง
คำตอบคือ เขาใช้เทคโนโลยีนาโนที่เรียกว่า "คิวโบโซม" พูดง่ายๆ มันคือแคปซูลจิ๋วๆ ที่เอาไว้หุ้มตัวยาลูทีนเอาไว้ (ซึ่งปกติไม่ละลายในน้ำ) โครงสร้างของมันบรรจุได้ทั้งส่วนที่ชอบน้ำและชอบไขมัน เลยเหมาะมากที่จะพาลูทีนเข้าไป แล้วออกแบบมาให้มันเกาะที่ผิวหน้าของดวงตาได้นานขึ้น พอยาเกาะอยู่บนตานานพอ มันก็จะค่อยๆ ซึมผ่านชั้นต่างๆ เข้าไปถึงจอประสาทตาข้างหลังได้เอง
นักวิจัยเอาไปลองหยอดตาให้หนู ผลออกมาดีเลย คือยาหยอดตาสามารถเพิ่มระดับลูทีนในจอประสาทตาของหนูได้เรื่อยๆ และอยู่ได้นานเป็นสัปดาห์ ต่างจากการฉีดยาที่ระดับยาจะพุ่งขึ้นสูงแค่ในชั่วโมงแรกแล้วก็ลดลง
ผลลัพธ์นี้ทำให้นักวิจัยมองเห็นความเป็นไปได้เยอะมาก Dr. Dao Nguyen หนึ่งในทีมวิจัย บอกว่า "การต้องฉีดยาเข้าตาซ้ำๆ มันเจ็บและทำให้ผู้ป่วยเครียดมาก ถ้าสูตรยานี้สำเร็จ คนอาจจะใช้ยาหยอดตานี้เพื่อป้องกันได้ด้วย ซึ่งอาจจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคในระยะท้ายๆ และลดความจำเป็นที่ต้องไปฉีดยา"
นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์ Tien Huynh ยังเสริมด้วยว่า "เทคโนโลยีนี้อาจเป็นประโยชน์ในวงกว้าง ไม่ใช่แค่กับลูทีนอย่างเดียว แต่มันเป็นเหมือน 'ตัวนำส่ง' ที่พาสารต่างๆ เข้าไปถึงเรตินาได้"
รองศาสตราจารย์ Chi Luu ซึ่งเป็นทั้งหมอและนักวิจัย ให้ความเห็นว่า "วิธีนี้มีโอกาสที่จะเปลี่ยนการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมไปเลย แต่ก็ต้องย้ำว่ายังต้องรอการทดลองในคนก่อน เพื่อดูว่าปลอดภัยและได้ผลจริง"
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น
งานวิจัยนี้ถือว่าน่าสนใจและมีความหวังมากๆ ถ้าสำเร็จจริง ในอนาคตผู้ป่วยอาจไม่ต้องทนเจ็บกับการฉีดยาเข้าตาบ่อย ๆ แค่หยอดตาเองที่บ้านก็เพียงพอแล้ว ซึ่งสะดวกกว่ามาก แต่ตอนนี้ก็ต้องรอติดตามผลการทดลองกันต่อไป
อ้างอิง: thebrighterside
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด