เมื่อวันที่ 7 เมษายน 65 ที่ผ่านมา สกุลเงินญี่ปุ่น (JPY) หรือ เงินเยน อ่อนค่าลงแตะ 133 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 20 ปีตั้งแต่เดือนเมษายน 2545 หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนโยบายทางการเงินที่แตกต่างกันระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น

โดยสะท้อนจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลแบบ 10 ปี ของ สหรัฐฯ เกือบ 3% ในขณะที่ของญี่ปุ่นเพียง 0.24% และแบบ 2 ปี สหรัฐอยู่ที่ 2.7% ญี่ปุ่น -0.076% ซึ่งช่องว่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นระหว่างสหรัฐ และญี่ปุ่นทำให้เกิดแรงเทขายเงินเยน
ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่สูง ทำให้ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าเนื่องจากขาดแคลนพลังงาน ขณะที่การกลับมาเปิดการท่องเที่ยวต่างประเทศของญี่ปุ่นอีกครั้งสามารถช่วยบรรเทาการขาดดุลการค้าของญี่ปุ่นได้ แต่รัฐบาลกำหนดขอบเขตการรับนักท่องเที่ยวไว้ที่ 20,000 คนต่อวัน และอนุญาตให้เข้าเฉพาะแพ็คเกจทัวร์ที่มีการรับรองว่าได้รับวัคซีนแล้วเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม Daisuke Karakama หัวหน้าเศรษฐกรจาก Mizuho Bank กล่าวว่า ยอดการเดินทางในตอนนี้จะช่วยชดเชยการขาดดุลการค้าได้ภายในหนึ่งเดือนเท่านั้น และไม่มากพอที่จะหยุดการอ่อนตัวของเงินเยนได้
ในขณะที่ Haruhiko Kuroda ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่า ธนาคารกลางจะยังคงมาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อไปเพื่อความคุมเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ต่อไป
แม้ว่า Shunichi Suzuki นายกรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นกล่าวว่า การเคลื่อนไหวของเงินเยน อาจสร้างผลกระทบด้านลบกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในอนาคต
โดยผลกระทบสำหรับผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นจะได้ประโยชน์ในฐานะนักท่องเที่ยว และซื้อสินค้าญี่ปุ่นได้ในราคาที่ถูกลง และธุรกิจท่องเที่ยวที่ไปญี่ปุ่นจะได้ประโยชน์ ในส่วนของธุรกิจ/อุตสาหกรรมบริษัทไทยที่นำเข้าสินค้า วัตถุดิบ หรือเครื่องจักรจากญี่ปุ่นก็จะได้ประโยชน์จากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าในครั้งนี้
อ้างอิง bloomberg
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด