Zoom เผย 10 เทรนด์ AI ในการทำงาน ที่ต้องจับตา ปี 2025 | Techsauce

Zoom เผย 10 เทรนด์ AI ในการทำงาน ที่ต้องจับตา ปี 2025

ในปี 2568 บริษัทซูม วิดีโอคอมมิวนิเคชันส์ (Zoom) มองว่าเทคโนโลยี AI อาจเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในหลายๆด้าน บริษัทที่ใช้ AI เป็นหลัก จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพพนักงาน สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้ลูกค้า เครื่องมือ AI จะช่วยให้องค์กรดึงดูดคนเก่ง และประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม

ผู้บริหาร Zoom หลายท่านได้คาดการณ์แนวโน้ม AI และแนะนำวิธีที่องค์กรจะใช้ AI ให้ได้เปรียบในการแข่งขันไว้ ดังนี้

Zoom เผย 10 เทรนด์ AI ในการทำงาน ที่ต้องจับตา ปี 2025

1. AI-first 

การให้ความสำคัญกับ AI เป็นอันดับแรก จะช่วยให้บริษัทเชื่อมต่อพนักงานเข้ากับองค์กรได้ดียิ่งขึ้น และสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่น่าประทับใจ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของทุกคน ไม่ใช่แค่แผนกบริการลูกค้าเท่านั้น AI จะช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญได้รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเรียกเก็บเงินหรือทีมผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์และแม่นยำ การสร้างสมดุลระหว่าง AI และการทำงานของมนุษย์ จะช่วยให้บริษัทสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าได้อย่างแท้จริง

2. AI จะมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น 

AI จะช่วยให้การบริการลูกค้ารวดเร็วขึ้น ประหยัดต้นทุน และมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เราจะได้เห็นบริษัทที่ใช้ AI มาช่วยสร้างบริการลูกค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคล การบริการที่ราบรื่น การแก้ปัญหาที่รวดเร็ว หรือการที่พนักงานใช้ AI เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างเข้าอกเข้าใจ

3. การบริการเชิงรุกด้วย AI

AI จะช่วยให้บริษัทคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น สามารถนำเสนอโซลูชันเชิงป้องกัน และสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำการเริ่มต้นใช้งาน การอัปเกรดโปรแกรม หรือการให้บริการเฉพาะบุคคล ซึ่งจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้ 

4. AI แบบกระจายศูนย์ 

แพลตฟอร์มส่วนใหญ่จะหันมาใช้ AI แบบกระจายศูนย์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุด การใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) หลายแบบ จะช่วยให้บริษัทมีทางเลือกมากขึ้น และสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับทั้งวิศวกรและผู้ใช้ ซึ่งแม้ว่าการแข่งขัน LLM จะสูงขึ้น แต่ความได้เปรียบของผู้ที่เริ่มพัฒนาก่อนก็จะลดลง

5. AI เปลี่ยนชีวิตการทำงาน

ในอนาคต “ผู้ช่วย AI” จะสามารถปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างสมบูรณ์ และพัฒนาไปเป็น "digital twin" ที่รู้ถึงการทำงานที่่านมาของคุณและมีความรู้ขององค์กรของคุณ สิ่งนี้จะไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานพื้นฐานของเรา ทำให้เราสามารถจัดลำดับความสำคัญของงานสร้างสรรค์และงานเชิงกลยุทธ์ที่ยังต้องการการทำงานโดยมนุษย์รวมถึงเวลาสำหรับการทำงานอย่างจดจ่อและรอบคอบ “ผู้ช่วย AI” ที่ฉลาดขึ้นอาจจะสามารถสร้างผลกระทบที่สำคัญมากขึ้นต่อชีวิตของเรา ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน ในปี 2568 เป็นต้นไป “ผู้ช่วย AI” จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเริ่มโครงการใหม่หรือระดมความคิด ไม่แต่พวกเขาจะสามารถทำงานที่เป็นอัตโนมัติ แต่จะสามารถทำงานจริงๆ ให้เรา และช่วยให้เราทำงานได้มากขึ้น “ผู้ช่วย AI” จะให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงแต่ละคนและมีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้นเพื่อปรับปรุงปฏิสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น

6. Soft Skills สำคัญสำหรับวิศวกรมากขึ้น

ด้วยความสามารถของ AI ในการโปรแกรมมิ่ง ทำให้ทักษะการแก้ปัญหาสำคัญมากขึ้นสำหรับวิศวกร และวิศวกรระดับสูงจะต้องฝึกฝน soft skills ให้กับทีม เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ นอกเหนือจากการจับข้อผิดพลาดของ AI

7. AI จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงาน

ผู้คนจะคาดหวังและต้องการใช้โซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในที่ทำงานมากขึ้น การใช้ AI ในที่ทำงานได้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อีกต่อไป และในไม่ช้า AI จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น

8. AI ช่วยให้ทำงานไฮบริดได้ดีขึ้น

AI จะช่วยให้พนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น องค์กรจะใช้โซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกันของพนักงาน ทั้งที่ทำงานในสำนักงานและทำงานออนไลน์

9. บริษัทที่ใช้ AI จะดึงดูดคนรุ่นใหม่

ผู้นำธุรกิจควรเตรียมพร้อมที่จะรับคนทำงานที่เติบโตมาพร้อมกับ AI หรือพนักงานที่ใช้ Generative AI มาตั้งแต่อายุยังน้อยทั้งกับการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างเป็นธรรมชาติ คนกลุ่มนี้จะคาดหวังให้มีการนำ AI มาใช้อย่างเป็นปกติมากกว่าการทดลองใช้ และผู้ที่มีความสามารถสูงจะเลือกร่วมงานกับบริษัทที่ใช้เครื่องมือเหล่านี้ รวมถึงผู้ที่ใช้ประโยชน์จาก AI พนักงานที่มีความสามารถเหล่านี้ควรได้รับการยกย่องและได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ส่งเสริมการใช้ AI ภายในบริษัท

10. สัปดาห์ทำงาน 4 วัน จะกลายเป็นเรื่องปกติ

AI จะช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เรามีวันหยุดเพิ่มขึ้น 1 วันต่อสัปดาห์ สัปดาห์การทำงาน 4 วันจะกลายเป็นเรื่องปกติ และจะทำให้เรามีเวลามากขึ้นสำหรับการทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เชื่อหมอมากกว่า TikTok ? วิจัยชี้ คำแนะนำทางการแพทย์เกือบครึ่ง 'มั่ว'

Tebra บริษัทวิจัยด้านสุขภาพ ได้ทำการวิเคราะห์วิดีโอบนแพลตฟอร์ม TikTok กว่า 5,000 รายการ ที่มีความเกี่ยวข้องกับคำแนะนำทางการแพทย์ เพื่อทำการประเมินความถูกต้องของ ซึ่งผลลัพธ์แสดงให้เ...

Responsive image

Techsauce ร่วมกับพันธมิตร ชูจุดแข็งไทย ดึงนักลงทุนเกาหลี

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้จัดกิจกรรม Investment Mission: Korean Investment Opportunities in Thailand โดย Techsauce ได้ร่วมกับพันธมิตร จัดเสวนา และแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับโอ...

Responsive image

เกิดอะไรขึ้น? ปี 2024 ซีอีโอแห่ลาออกเยอะที่สุด ทุบสถิติโลก เกือบ 2,000 คน

บริษัท Challenger, Gray & Christmas ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการหางานระดับผู้บริหาร ระบุว่า ในปี 2024 มีซีอีโอลาออกมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2002 โดย ณ เดือนพฤศจิกาย...