ภายในงาน Adobe Summit การประชุมด้านประสบการณ์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก Adobe ได้เปิดตัวนวัตกรรมหลายรายการ รวมถึงการบูรณาการระบบ และการลงทุนเพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ประสบความสำเร็จใน Metaverse
ด้วยการต่อยอดจากเทคโนโลยีที่ Adobe นำเสนอในปัจจุบันสำหรับการสร้างสรรค์ประสบการณ์ 3D แบบ immersive รวมถึงแพลตฟอร์ม E-commerce และประสบการณ์ดิจิทัล Adobe ได้เผยโฉมนวัตกรรมใหม่สำหรับการออกแบบ สร้าง และนำเสนอประสบการณ์แบบเสมือนจริงที่ชวนดื่มด่ำให้แก่ผู้ใช้งานหลายล้านคน
อีกทั้งยังมีการบูรณาการใหม่ๆ บน Adobe Creative Cloud และ Adobe Experience Cloud ที่จะช่วยองค์กรธุรกิจในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมสามารถสร้างและปรับแต่งคอนเทนต์ 3D และทำ personalization โดยใช้ Solution ของ Adobe
นอกจากนี้ Adobe ได้นำเสนอ playbook สำหรับแบรนด์ต่างๆ พร้อมทั้งพรีวิว Substance 3D Modeler รวมไปถึงเครื่องมือ Augmented Reality (AR) สำหรับการช้อปปิ้ง และยังได้ร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำ เช่น The Coca-Cola Company, Epic Games, NASCAR และ NVIDIA ในการพัฒนาเทคโนโลยีและประสบการณ์ต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ Metaverse :
สก็อต เบลสกี้ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์และรองประธานบริหารฝ่าย Adobe Creative Cloud กล่าวว่า “Metaverse และประสบการณ์เสมือนจริงอื่นๆ จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการนำเสนอฟีเจอร์ที่พร้อมสรรพ ผ่านการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล มีคอนเทนต์แบบอินเทอร์แอคทีฟ และดึงดูดใจ ดังนั้นเพื่อที่จะเป็นผู้นำในเมตาเวิร์ส แบรนด์ต่างๆ จึงควรเริ่มต้นสร้างคอนเทนต์ 3D และคอนเทนต์ immersive ตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตแล้ว ยังช่วยให้การออกแบบผลิตภัณฑ์และการสร้าง Asset ด้านการตลาดและ E-commerce ปรับปรุงดีขึ้น รวดเร็วมากขึ้น และมีค่าใช้จ่ายถูกลง”
Metaverse ประกอบด้วยประสบการณ์ immersive ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารกันในโลกเสมือนจริง โดยทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรมแห่งอนาคต รวมถึงประสบการณ์ร่วมกันหลากหลายรูปแบบสำหรับการทำงาน การเล่นเกม E-commerce ระบบหุ่นยนต์ การฝึกอบรมสำหรับยานพาหนะไร้คนขับ และการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เป็นต้น
Adobe บูรณาการเครื่องมือด้านครีเอทีฟสำหรับคอนเทนต์ 3D และคอนเทนต์ immersive เข้ากับ Adobe Experience Cloud โดยในขั้นแรกเป็นการบูรณาการสำหรับ Adobe Commerce, Adobe Experience Manager, Adobe Analytics และ Adobe Target ก่อนหน้านี้ Adobe ได้ปรับปรุงให้กลมกลืนมากขึ้นสำหรับคอนเทนต์ เอฟเฟ็กต์ และฟีเจอร์ 3D บนแอปพลิเคชัน Creative Cloud
อนิล จักรวารธี ประธานฝ่ายธุรกิจประสบการณ์ดิจิทัลของ Adobe กล่าวว่า “เนื่องจากเว็บไซต์มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดความต้องการเพิ่มมากขึ้นสำหรับประสบการณ์ immersive ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งครอบคลุม E-commerce ฟังก์ชั่นที่รองรับผู้ใช้งานหลายคน และความสามารถในการครอบครองและส่งออกอัตลักษณ์และทรัพยากรของคุณเองที่ผ่านการปรับแต่งเป็นพิเศษในโลกเสมือนจริง Adobe Experience Cloud คือเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ immersive แบบเฉพาะบุคคลตามลักษณะที่ว่านี้”
“ที่ Coca-Cola เรามุ่งมั่นที่จะรักษาคุณค่าของงานออกแบบและงานสร้างสรรค์ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกดิจิทัล” ราฟา อาบรู รองประธานฝ่ายออกแบบทั่วโลกของ The Coca-Cola Company กล่าว “อะโดบีมอบการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลสำหรับผลิตภัณฑ์ของเรา และเรามุ่งหวังที่จะทำงานร่วมกับอะโดบีเพื่อขยายแบรนด์ Coca-Cola ไปสู่โลกเสมือนจริงด้วยการนำเสนอประสบการณ์ immersive”
“ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาเกม สถาปนิก หรือนักออกแบบยานยนต์ ผู้บริโภคในทุกวันนี้ต้องการประสบการณ์แบบ Interactive เสมือนจริง” มาร์ค เปอตี รองประธานฝ่ายระบบนิเวศ Unreal Engine ของ Epic Games กล่าว “เราร่วมมือกับอะโดบีเพื่อพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่จะช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ 3D แบบเรียลไทม์ เพื่อขยายขอบเขตของการแสดงผลภาพที่สมจริงเหมือนภาพถ่าย”
“ที่ NASCAR เรามุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ระดับสุดยอดให้แก่แฟนๆ ของเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสนามแข่ง รับชมจากที่บ้าน หรือติดต่อสื่อสารกับเราในโลกเสมือนจริง” ไวแอตต์ ฮิคส์ กรรมการผู้จัดการของ NASCAR Digital Media กล่าว “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมมือกับอะโดบีในการนำเสนอประสบการณ์แบบ immersive ให้แก่ผู้ชมบนทุกแพลตฟอร์ม”
“NVIDIA ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อสร้างเทคโนโลยีพื้นฐานที่จะช่วยให้องค์กร นักพัฒนา และศิลปิน สามารถสร้างและเชื่อมต่อถึงกันภายในโลกเสมือนจริง การทำงานร่วมกับ Adobe เพื่อกำหนดมาตรฐานเปิดสำหรับ 3D เช่น Universal Scene Description จะช่วยให้ทีมงานฝ่ายออกแบบและฝ่ายวิศวกรรมของเราสามารถโยกย้าย Asset 3D ไปยังส่วนต่างๆ ในโลกเสมือนจริง” ริชาร์ด เคอริส รองประธานฝ่ายแพลตฟอร์มการพัฒนา Omniverse ของ NVIDIA กล่าว
ที่งาน Adobe Summit Adobe ได้จัดทำรายงานคู่มือ “Metaverse Playbook” เพื่อช่วยให้เอเจนซี่และแบรนด์ต่างๆ สามารถปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการออกแบบในสภาพแวดล้อม 3D และแบบ immersive ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับงานโปรดักชั่นด้านการตลาด รวมไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังระบุข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ เกี่ยวกับ Ecosystem หลักของพาร์ทเนอร์ เพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆ เตรียมความพร้อมสำหรับ Metaverse ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ในปีนี้ Adobe มีแผนที่จะขยายความสามารถด้าน 3D ใน Substance 3D Collection ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วย Substance 3D Stager, Painter, Sampler, Designer และ 3D Asset Library พร้อมด้วยแอพใหม่ Substance 3D Modeler ทำให้คอลเลกชั่นดังกล่าวเป็น Solution แบบครบวงจรเพียงหนึ่งเดียวสำหรับภาพและประสบการณ์ 3D
ทั้งนี้ เครื่องมือ 3D ของ Adobe ได้รับการใช้งานอย่างกว้างขวางในเกม immersive ชั้นนำเช่น Fortnite, Roblox, Halo และ Flight Simulator และยังถูกใช้ในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ด้านความบันเทิงที่เหนือชั้นอย่าง Dune, The Mandalorian และ Blade Runner 2049
Adobe มีแผนที่จะรวมคอนเทนต์ เอฟเฟ็กต์ และฟีเจอร์ 3D เข้ากับแอปพลิเคชัน Creative Cloud หลังจากที่ล่าสุดได้รวมไว้บน Illustrator และ After Effects นอกจากนี้ Adobe ยังนำเสนอ Adobe Aero ซึ่งเป็นเครื่องมือชั้นนำในการสร้างประสบการณ์ Augmented Reality
Adobe ได้พรีวิวเครื่องมือด้าน Immersive ที่ก้าวล้ำจากห้องปฏิบัติการวิจัยของ Adobe เช่น เครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจนำเสนอประสบการณ์ E-commerce ใน Metaverse รวมถึงประสบการณ์ดิจิทัลแบบเสมือนจริงอื่นๆ
พร้อมกันนี้ Adobe จะพรีวิวเทคโนโลยี AR Shopping ซึ่งจะช่วยให้นักการตลาดสามารถใส่มาร์คเกอร์ AR ไว้ในภาพดิจิทัลบนเว็บไซต์ และลูกค้าก็จะสามารถถ่ายภาพสินค้าทางออนไลน์ แล้วตรวจสอบขนาดที่แน่ชัดและความพอดีเมื่อลองสวมใส่หรือตั้งวางที่บ้านผ่านภาพจำลอง ซึ่งนับเป็นการผสานรวมโลกเสมือนจริงและโลกแห่งความเป็นจริงเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด