
ในยุคที่สนามพลังงานโลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรง การเป็นเพียง "ผู้ผลิต" อาจไม่เพียงพออีกต่อไป ล่าสุด บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งสำคัญ ด้วยการประกาศตัวเป็นบริษัทไทยรายแรกที่กระโจนเข้าสู่สมรภูมิ "Power Trading" หรือธุรกิจซื้อขายพลังงานไฟฟ้าในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่มีพลวัตสูงที่สุดในโลก การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้ไม่เพียงตอกย้ำจุดยืน "ผู้บุกเบิกนวัตกรรมพลังงาน" แต่ยังเป็นการเปิดมิติใหม่ของการสร้างรายได้ที่นอกเหนือไปจากการผลิตไฟฟ้าแบบดั้งเดิม พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2568 ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยกำไรสุทธิ 1,846 ล้านบาท
นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BPP เปิดเผยว่า การเข้าสู่ธุรกิจ Power Trading ผ่านบริษัทลูก BPPUS คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่เติมเต็มระบบนิเวศธุรกิจของ BPP ให้ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ (การผลิต) กลางน้ำ (การซื้อขาย) และปลายน้ำ (การค้าปลีกไฟฟ้า) โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงเป็นหัวหอก
"ในยุคที่ความมั่นคงทางพลังงานคือหัวใจของเศรษฐกิจโลก BPP ไม่ได้หยุดอยู่แค่การผลิตไฟฟ้า แต่เรากำลังต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม" นายอิศรากล่าว "ก้าวแรกที่ประสบความสำเร็จคือการสร้างรายได้จากธุรกิจซื้อขายสิทธิรายได้จากความแออัดของระบบสายส่งไฟฟ้า (Congestion Revenue Rights - CRR) ซึ่งสามารถสร้างรายได้รวมแล้วกว่า 133 ล้านบาท นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่แล้วจนถึงครึ่งปีแรกของปี 2568"
แต่ BPP ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น แผนต่อไปคือการขยายสู่ตลาด Intercontinental Exchange (ICE) เพื่อทำกำไรจากการคาดการณ์ราคาพลังงานล่วงหน้า หรือ Proprietary Trade ซึ่งเปรียบเสมือนการเทรดหุ้นในตลาดพลังงาน นับเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตตัวใหม่ที่จะทำงานควบคู่ไปกับธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นแกนหลักที่สร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน ในธุรกิจปลายน้ำ BPP ยังคงรุกตลาดค้าปลีกไฟฟ้าในสหรัฐฯ ผ่าน BKV Energy ซึ่งล่าสุดเพิ่งคว้ารางวัล "Best Electricity Company" จากเวที Best of the Best 2025 ของ Houston Chronicle ซึ่งมาจากการโหวตของผู้บริโภคในรัฐเท็กซัส ตอกย้ำความเชื่อมั่นในคุณภาพและบริการที่ส่งมอบพลังงานได้อย่างต่อเนื่องในราคาที่แข่งขันได้

ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่มีกำไรสุทธิ 1,846 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน) และ EBITDA รวม 4,486 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ทั่วโลก ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจาก:
ในส่วนของ ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy) ก็มีความคืบหน้าอย่างน่าสนใจ โรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งในจีนได้เริ่มนำชีวมวลมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมในสัดส่วน 10% ซึ่งคาดว่าจะลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 70,000 ตันต่อปี ขณะที่โรงไฟฟ้า HPC ใน สปป.ลาว และ BLCP ในไทย ยังคงรักษาเสถียรภาพการจ่ายไฟในระดับสูง (EAF 89% และ 90% ตามลำดับ)
ด้าน ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewables+) โครงการแบตเตอรี่ฟาร์ม "อิวาเตะ โตโนะ" ในญี่ปุ่น ที่มีความจุถึง 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว BPP ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) อย่างต่อเนื่องผ่าน Banpu NEXT โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้เล่นหลักในตลาดญี่ปุ่น และกำลังศึกษาโอกาสที่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในตลาดสหรัฐฯ ต่อไป

เพื่อรองรับพลวัตของอุตสาหกรรมพลังงานโลก BPP ได้ประกาศ 3 พันธกิจใหม่ที่จะเป็นเข็มทิศนำทางองค์กร ได้แก่:

"ตลอดเกือบ 3 ทศวรรษ BPP ได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะผู้บุกเบิกด้านพลังงานใน 8 ประเทศยุทธศาสตร์ การกระจายพอร์ตธุรกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์ และการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง คือคำตอบของเราในการส่งมอบพลังงานคุณภาพสูงและผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม" นายอิศรากล่าวทิ้งท้าย
การเดินเกมรุกเข้าสู่ตลาด Power Trading ของ BPP ในครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าแค่การขยายธุรกิจ แต่มันคือการประกาศวิสัยทัศน์ว่าอนาคตของพลังงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่การผลิต แต่ยังรวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการ "มูลค่า" ของพลังงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ซึ่งเป็นบทพิสูจน์สำคัญของบริษัทพลังงานไทยในเวทีสากล
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด