รายงาน FinTech in ASEAN 2021 เผย การระดมทุนด้าน FinTech เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าในภูมิภาคอาเซียน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ | Techsauce

รายงาน FinTech in ASEAN 2021 เผย การระดมทุนด้าน FinTech เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าในภูมิภาคอาเซียน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

เงินทุนสำหรับเทคโนโลยีด้านการเงิน (ฟินเทค) ในภูมิภาคอาเซียนดีดตัวกลับอย่างแข็งแกร่งในปี 2564 เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าใน 9 เดือนแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2563 ทั้งปี ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รายงาน FinTech in ASEAN 2021 ของ UOB, PwC Singapore และ Singapore FinTech Association (SFA) ระบุว่าจำนวนการระดมเงินทุนสำหรับฟินเทคที่พุ่งสูงขึ้นนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากข้อตกลง 167 ข้อตกลง และในจำนวนนี้ 13 ข้อตกลงมาจากการระดมทุนระดับเมกะ[1] มีมูลค่ารวมสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจบริษัทฟินเทคขั้นปลาย[2] ซึ่ง 10 จาก 13 ข้อตกลงบรรลุ ได้เงินทุนในระดับเมกะในปีนี้ ซึ่งมีบริษัทฟินเทคของไทยรวมอยู่ด้วย โดยเทรนด์นี้เป็นสัญญาณชี้ถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของนักลงทุนในตลาดในภูมิภาคหลายแห่ง และแสดงให้เห็นว่านักลงทุนดำเนินการอย่างระมัดระวังและเลี่ยงความเสี่ยงโดยให้การสนับสนุนบริษัทที่เติบโตเต็มที่แล้ว ซึ่งมองว่ามีโอกาสสูงที่จะเติบโตขึ้นจากภาวะโรคระบาด เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตของการชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลที่สูงขึ้นในภูมิภาคอาเซียน นักลงทุนจึงเชื่อมั่นและทุ่มเงินทุนให้บริษัทฟินเทคขั้นปลายในหมวดหมู่การชำระเงินมากที่สุด

คุณเจเน็ต ยัง Head of Group Channels and Digitalisation กลุ่มธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “การระดมเงินลงทุนในอุตสาหกรรมฟินเทคในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวกลับและทำสถิติสูงสุดที่ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ หากมองผ่านการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งครั้งนี้ เราคิดว่าปัจจัยที่บริษัทฟินเทคจะเติบโตอย่างยั่งยืนยังคงเป็นโอกาสในการสร้างพันธมิตรที่เข้มแข็งแบบ win-win-win ระหว่างธนาคารที่มีรากฐานมั่นคง บริษัทฟินเทค และแพลตฟอร์มในระบบนิเวศ รวมถึงการขยายธุรกิจไปทั่วภูมิภาค

“ธนาคารยูโอบีร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมฟินเทคมาอย่างยาวนานเพื่อสนับสนุนการเติบโตของพันธมิตร ด้วยเราเข้าใจถึงวัฒนธรรม ธุรกิจ และกฎหมายต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนอย่างลึกซึ้ง และเชื่อมต่อพันธมิตรต่างๆ เข้ากับระบบนิเวศระดับภูมิภาคของธนาคาร ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดนี้ยังช่วยให้เราดึงศักยภาพอันเป็นเอกลักษณ์และจุดแข็งของพันธมิตรแต่ละรายออกมาเพื่อพัฒนาโซลูชันด้านการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ด้านดิจิทัลแบบไร้รอยต่อในโลกที่พัฒนาไปสู่ช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น”

การระดมทุนในบริษัทฟินเทคจากประเทศไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 60

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ประเทศไทยได้รับเงินระดมทุนในฟินเทคมูลค่า 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับปี 2563 ทั้งปี ซึ่งรวมถึงบริษัทแอสเซนด์ มันนี่ ที่สามารถระดมทุนด้วยมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขยับขึ้นเป็นฟินเทคยูนิคอร์นรายแรกของไทย 

บริษัทฟินเทคจากสิงคโปร์ยังคงดึงดูดเงินทุนได้มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยบรรลุข้อตกลงได้เกือบครึ่ง (ร้อยละ 49) จากทั้งหมด 167 ข้อตกลง รวมเป็นเงินทุนมูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงการระดมทุนระดับเมกะที่มีมูลค่ารวม 972 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อินโดนีเซียยังคงครองอันดับสองในปีนี้ โดยระดมทุนได้สูงถึง 904 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 26) ตามด้วยเวียดนามซึ่งทำผลงานได้ดีมาก ระดมทุนได้ถึง 375 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 11) จากรอบการระดมทุนระดับเมกะ 2 ข้อตกลง บริษัทฟินเทคในสิงคโปร์และอินโดนีเซียระดมเงินทุนได้จากเกือบทุกหมวดหมู่[3] ซึ่งชี้ให้เห็นถึงอุตสาหกรรมที่สดใสและกำลังเติบโตพร้อมเม็ดเงินลงทุนที่ต่อเนื่อง     

มร. ซาดับ ไทยาบิ นายกสมาคมฟินเทคแห่งสิงคโปร์ (SFA) กล่าวว่า “เรามั่นใจมากว่าอุตสาหกรรมฟินเทคทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงมีอนาคตที่สดใสและเติบโตอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งของการระดมทุนในปีนี้ ปัจจัยสำคัญที่นำมาสู่การพลิกฟื้นนี้คือภาวะโรคระบาด ซึ่งมีส่วนเร่งให้ผู้บริโภคปรับตัวหันมาใช้ช่องทางดิจิทัลมากขึ้นทั้งในสิงคโปร์และทั่วภูมิภาค ผลักดันให้การชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลเติบโต และเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ช่องทางดิจิทัลภายในภาคบริการทางการเงิน  

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สิงคโปร์ เราได้เห็นการระดมทุนจำนวนมาก โดยได้รับแรงสนับสนุนจากจำนวนบริษัทฟินเทคที่ต้องการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ที่นี่ที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากได้รับการสนับสนุนด้านการกำกับดูแล โอกาสสำหรับความร่วมมือระดับภูมิภาค และระบบนิเวศของนักลงทุนที่มุ่งเน้นบริษัทสตาร์ทอัพ สมาคมฟินเทคแห่งสิงคโปร์ยังคงมุ่งมั่นให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่ระบบนิเวศสำหรับอุตสาหกรรมฟินเทค เพื่อเสริมสร้างโอกาสใหม่ๆ ด้านความร่วมมือ การเชื่อมต่อ และการสร้างสรรค์ร่วมกันให้บริษัท”

เงินทุนในบริษัทเทคโนโลยีการลงทุนและคริปโทเคอร์เรนซีมีอัตราการเติบโตสูงสุด

เงินทุนที่อัดฉีดเข้าสู่บริษัทฟินเทคด้านการลงทุนและคริปโทเคอร์เรนซีในภูมิภาคอาเซียนเติบโตสูงสุดในปีนี้ ทำให้ทั้งสองหมวด หมู่ไต่ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ ตามหลังฟินเทคด้านการชำระเงิน และนับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่ฟินเทคด้านสินเชื่อทางเลือกหลุดจากตำแหน่ง 3 อันดับแรกของการระดมเงินทุน เนื่องจากความสนใจของผู้บริโภคในด้านการลงทุนช่องทางดิจิทัลและสกุลเงินดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้น

หากเปรียบกับปี 2563 การระดมทุนในบริษัทเทคโนโลยีการลงทุนเพิ่มขึ้น 6 เท่า มีมูลค่าถึง 457 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ สอดคล้องกับความสนใจของผู้บริโภคในการใช้เครื่องมือเทรดและการบริหารความมั่งคั่งผ่านช่องทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น รายงาน[1] ที่จัดทำขึ้นโดย UOB, PwC และ SFA ระบุว่าผู้บริโภค 6 ใน 10 คนในภูมิภาคอาเซียนเคยใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น  Robo-adviser และแพลตฟอร์มโบรกเกอร์ออนไลน์เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการลงทุน

การระดมเงินทุนสำหรับฟินเทคด้านคริปโทเคอร์เรนซีขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ด้วยมูลค่ารวม 356 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และดึงดูดเงินทุนได้มากกว่าปี 2563 ถึง 5 เท่า จากการที่ผู้บริโภค 9 ใน 10 คนในภูมิภาคอาเซียนระบุว่าเคยเริ่มหรือมีแผนที่จะใช้คริปโทเคอร์เรนซีและสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง[1] จึงคาดว่าสัดส่วนของบริษัทคริปโทเคอร์เรนซีในภูมิภาคจะเติบโตขึ้น ในขณะที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมหันมาใช้ประโยชน์จากความสนใจของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้นนี้

บริษัทฟินเทคที่ระดมทุนได้สูงสุดในอาเซียนในปีนี้ยังคงเป็นด้านการชำระเงิน มีมูลค่ารวม 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยฟินเทคด้านการชำระเงินยังเป็นหมวดหมู่ที่มีจำนวนบริษัทฟินเทคมากที่สุดในประเทศส่วนใหญ่ ยกเว้นในสิงคโปร์ และไทย การระดมเงินทุนในบริษัทเหล่านี้จะช่วยเร่งให้ผู้บริโภคหันมาใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเครดิตและเดบิต และแอปพลิเคชันธนาคารออนไลน์มากขึ้น ซึ่งได้กลายเป็นวิธีการชำระเงินที่ผู้บริโภคในอาเซียนนิยมใช้มากที่สุด ตามหลังเงินสด

สำหรับประเทศไทย มีจำนวนบริษัทฟินเทคด้านสินเชื่อทางเลือก (alternative lending) สูงสุดที่ร้อยละ 21 จากบริษัทฟินเทคทั้งหมดในประเทศ ตามมาด้วยฟินเทคด้านการชำระเงิน ที่ร้อยละ 20 และฟินเทคด้านคริปโทเคอร์เรนซี ที่ร้อยละ 20

คุณ วังยี วอง FinTech Leader, PwC Singapore กล่าวว่า “บริษัทที่เปิดรับเทคโนโลยีทางการเงินกำลังปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของตลาด ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าผู้บริโภคในอาเซียนได้เปิดรับโซลูชันฟินเทคและสัมผัสประสบการณ์ดิจิทัลที่หลากหลาย และพร้อมมุ่งสู่อนาคตแห่งโลกดิจิทัล ดูได้จากการที่การชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลกลายเป็นเรื่องปกติ และผู้บริโภคให้ความสนใจหมวดหมู่อื่นๆ ของฟินเทคอย่างมาก เช่น เทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (wealthtech) และสินทรัพย์คริปโต ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามว่าฟินเทคจะปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางธุรกิจหรือไม่ แต่ถึงเวลาแล้วที่ต้องถามว่า บริษัทจะปรับใช้และตอกย้ำยุทธศาสตร์ที่ยึดฟินเทคเป็นศูนย์กลาง และในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการผนวกรวม ความเชื่อใจ ความโปร่งใส และสำนึกความรับผิดชอบเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดได้อย่างไร”  


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Freshket ระดมทุนเพิ่ม กว่า 273 ล้านบาท เดินหน้าขยายแพลตฟอร์มสู่ Food Supply Chain ครบวงจร

เฟรชเก็ต (freshket) แพลตฟอร์มจัดการวัตถุดิบออนไลน์สำหรับร้านอาหารแบบครบวงจร (Food Supply Chain Platform) สัญชาติไทย เดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมระดมทุนเพิ่มจากผู้ลงทุ...

Responsive image

ไทยเตรียมจัดงาน ASEAN Digital Awards 2025 การแข่งขันรอบชิงสำหรับภูมิภาค นำเสนอนวัตกรรมดิจิทัลจากสมาชิกอาเซียน

ASEAN Digital Awards 2025 คือเวทีระดับภูมิภาคที่รวมความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมล้ำสมัย และแรงบันดาลใจสำหรับนักพัฒนา พร้อมผลักดันศักยภาพผู้ประกอบการในอาเซียนให้ก้าวสู่ระดับโลก...

Responsive image

ทรู ไอดีซี ดาต้าเซ็นเตอร์ คว้ารางวัลนานาชาติ ด้านออกแบบและพลังงาน พร้อมรองรับเทคโนโลยี AI

ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด หรือ ทรู ไอดีซี ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ ประกาศความสำเร็จของโครงการ ทรู ไอดีซี อีสต์ บางนา แคมปัส ที่สร้างปรา...