การแก้ไขปัญหาขยะอาหารในเอเชีย ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจะเป็นผู้นำในการลดขยะอาหารได้อย่างไร | Techsauce

การแก้ไขปัญหาขยะอาหารในเอเชีย ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจะเป็นผู้นำในการลดขยะอาหารได้อย่างไร

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป  บริษัท อินฟอร์ อาเชียน-อินเดีย

รายงานฉบับใหม่ของ Food Waste Index Report ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Programme) เปิดเผยว่า ในแต่ละปีมีอาหารกว่า 1.3 พันล้านตันถูกทิ้งเป็นขยะ ซึ่งคิดเป็นประมาณเกือบหนึ่งในสามของอาหารที่ผลิตได้ทั้งหมด โดยเป็นขยะอาหารจากครัวเรือนสูงถึง 60% ของจำนวนทั้งหมด  และที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือ ขยะอาหารทั่วโลกมากกว่าครึ่งเกิดขึ้นในเอเชียนี่เอง

ตัวเลขของขยะอาหารเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก  เพราะขยะอาหารในทุกวันนี้ได้กลายเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกใหญ่เป็นอันดับสาม ทำให้ระบบอาหารทั่วโลกกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิอากาศมากที่สุด และปริมาณการสูญเสียอาหารก็เป็นเรื่องจริงที่ยากจะทำใจยอมรับได้

สำหรับประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์ว่า มีปริมาณขยะอาหารประมาณ 78.69 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และยังขาดการติดตามและจัดเก็บข้อมูลด้านการสูญเสียและขยะอาหารอย่างเป็นระบบ  กรมควบคุมมลพิษจึงร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ภายใต้โครงการการจัดการของเสียแบบผสมผสานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก (Integrated Waste Management for GHG Reduction) จัดทำ “การจัดทำแผนที่นำทางการจัดการขยะอาหารของประเทศไทย (ผู้จำหน่ายอาหาร ผู้ประกอบอาหาร และผู้บริโภค)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนสถานการณ์การจัดการขยะอาหารในประเทศไทย นำเสนอดัชนีขยะอาหาร (Food Waste Index) รวมถึงความคิดเห็นในการจัดทำแผนที่นำทางการจัดการขยะอาหารของประเทศไทย พ.ศ. 2564–2573 ที่ตั้งเป้าให้ลดปริมาณขยะอาหารลงร้อยละ 25 ภายในปี พ.ศ. 2568 และร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ. 2573

นอกจากนี้ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยระบุว่า สํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ยังให้เงินอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาในการสํารวจปริมาณและที่มาของขยะอาหารและแนวทางในการลดขยะอาหาร โดยมีโรงแรมหลายแห่งเข้าร่วมโครงการ และมอบหมายให้องค์กรอิสระ Scholars of Sustenance (SOS) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากําไรที่มีระบบในการขนส่งอาหารที่ได้มาตรฐาน ทำหน้าที่กระจายอาหารส่วนเกินจากโรงแรม ภัตตาคาร ร้านค้าปลีก ไปยังสถานสงเคราะห์หรือชุมชนที่ต้องการ

โชคดีที่ยังมีการรับรู้ถึงปัญหาเร่งด่วนนี้  ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายหน่วยงานทั่วภูมิภาคเอเชียได้พยายามอย่างมากที่จะลดขยะอาหาร โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องวันที่ควรบริโภคก่อน (best-before date) ซึ่งเป็นช่วงที่สินค้าจะมีคุณภาพดีที่สุด กับวันที่สินค้าหมดอายุ (use-by date)  อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว และส่งผลกระทบต่อเนื่องทั่วทั้งภาคส่วน ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นผู้นำ โดยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เพื่อสกัดกั้นปัญหาตั้งแต่ต้นทาง

รายละเอียดทุกอย่างปรากฎอยู่บนฉลาก

ประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่ต้องแก้ไข คือ ความสับสนของผู้บริโภคเกี่ยวกับวันที่ที่ระบุไว้บนผลิตภัณฑ์  ในประเทศเกาหลี ผลสำรวจที่จัดทำโดยสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพแห่งเกาหลี (Korea Health Industry Development Institute) พบว่า 56.4% ของผู้บริโภค จะโยนอาหารทิ้งก่อนเวลาอันควร โดยดูจาก “ควรบริโภคภายในวัน” (“sell-by” dates) ซึ่งระบุว่าของชิ้นนั้นจะวางอยู่ในร้านได้ไม่เกินวันที่ระบุข้างกล่อง แทนที่จะดู “วันหมดอายุ” (“use-by” dates)  เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาเนื่องจากการระบุวันสำหรับร้านค้าแบบแรกมักจะทำให้เข้าใจผิด เพราะโดยปกติแล้วจะหมายถึงอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ที่ 60-70% เท่านั้น  ด้วยเหตุนี้ กระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาของเกาหลีจึงกำหนดให้ปรับปรุงระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการติดฉลากอาหาร โดยใช้การระบุวันหมดอายุแทนวันสำหรับร้านค้าทั้งหมด ซึ่งจะเป็นอายุที่นานกว่า และไม่มีผลกระทบด้านความปลอดภัยใด ๆ หากผลิตภัณฑ์ได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสม

เมื่อเกิดความสับสนและความเข้าใจผิดกันอย่างมากเกี่ยวกับฉลากวันที่ของผลิตภัณฑ์ การที่ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้และข้อมูลที่มากขึ้น จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการลดการสูญเสียอาหาร  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่สามารถดำเนินการเชิงรุก เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของผู้บริโภค ในเรื่องการระบุวันที่ที่ผลิตภัณฑ์จะมีคุณภาพดีที่สุด (best-before) ไม่ใช่วันหมดอายุ ตลอดจนการใช้กฎระเบียบ
ติดฉลากมาตรฐานตามที่เกาหลีได้ทำไว้

ชั้นวางสินค้าอัจฉริยะ และการแจ้งเตือนวันหมดอายุสินค้า

 ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งได้เริ่มทดลองใช้ชั้นวางสินค้าอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยลดราคาสินค้าให้สอดคล้องกับวันหมดอายุ และวันที่ที่ผลิตภัณฑ์จะมีคุณภาพดีที่สุด  ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีศักยภาพพอที่จะนำไปใช้งานในบ้านได้ โดยใช้กับตู้เย็นอัจฉริยะที่สามารถแจ้งเตือนผู้บริโภคถึงวันหมดอายุที่ใกล้จะถึง รวมถึงเตือนให้รับประทานผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะหมดอายุ

การใช้อายุการเก็บรักษาสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ถูกปรับตามคุณภาพที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์นั้น สามารถใช้เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภค เพราะเป็นเรื่องที่ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมนี้มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว และสามารถเป็นผู้ริเริ่มนำมาใช้ได้ โดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจของตน

การเปลี่ยนวิธีการติดฉลากและจัดเก็บผลิตภัณฑ์จะทำให้ผู้ผลิตมีโอกาสจะขึ้นเป็นผู้นำในวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ของการยืดอายุการเก็บรักษาให้นานสูงสุด เพื่อลดปริมาณการสูญเสียอาหารที่มากจนน่าตกใจในแต่ละวัน

การรวมโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเข้าไปในสมการ

 เมื่อพูดถึงเรื่องอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์ การแก้ไขต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ สินค้าที่เน่าเสียง่ายก็ต้องใช้วิธีแบบหนึ่ง  และแม้แต่สินค้าที่ไม่เน่าเสียง่ายก็อาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละล็อตผลิต  ดังนั้น การนำความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning - ML) เข้ามาใช้งานร่วมกันในด้านนี้ จะทำให้ผู้ผลิตสามารถเตรียมพร้อมสำหรับสต็อกสินค้าที่มีตัวแปรต่าง ๆ เกี่ยวข้องในกระบวนการได้ดียิ่งขึ้นในทุกขั้นตอนของซัพพลายเชนตั้งแต่แหล่งผลิตจนถึงมือผู้บริโภค รวมถึงกำหนดอายุการเก็บรักษาแบบไดนามิกสำหรับแต่ละผลิตภัณฑ์

ในทางปฏิบัติ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบสภาพของส่วนผสม และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปลายทาง โดยพิจารณาจากเวลาและปัจจัยแวดล้อมในการจัดเก็บและการขนส่งในทุกระยะ ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการผลิต ตลอดจนการจัดทำโปรไฟล์คุณภาพของวัตถุดิบ และการตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์เมื่อมาถึงร้านค้าปลีก  ซึ่งเหมาะต่อการนำอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (Internet of Things - IoTs) มาใช้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจาก IoTs สามารถตรวจสอบตัวแปรสำคัญต่าง ๆ และส่งข้อมูลที่สำคัญนี้กลับเข้าสู่ระบบอัจฉริยะเพื่อการวิเคราะห์ได้  โดยจะช่วยกำหนดวันหมดอายุที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งจะสอดคล้องกับคุณสมบัติเฉพาะของผลิตภัณฑ์ในแต่ละล็อตการผลิต

ประโยชน์สามต่อที่ผู้ผลิตจะได้รับ

 นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังจะได้รับประโยชน์เพิ่มเติมต่าง ๆ จากความละเอียด และการมองเห็นขอข้อมูลทั่วทั้งซัพพลายเชนอีกด้วย เนื่องจากระบบที่เหมาะสมสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็น เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผน และให้ทางเลือกในการจัดหาแหล่งผลิตได้ดียิ่งขึ้น เช่น ผู้ผลิตจะได้รับแจ้งถึงส่วนผสมที่ต้องการและเวลาที่จะได้รับส่วนผสมนั้น ทำให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนสูตรเพื่อชดเชยกับความล่าช้า หรือข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นกับคุณภาพของส่วนผสม  ในทำนองเดียวกัน ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ยังช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตรวจสอบหาแหล่งผลิตส่วนผสมจากแหล่งอื่นได้หากพบว่าซัพพลายเออร์รายใดรายหนึ่งขาดสินค้า หรือเปลี่ยนไปใช้การขนส่งแบบอื่นแทนหากวิธีขนส่งที่ใช้อยู่มีส่วนทำให้อายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์สั้นลง

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ยังสามารถส่งผลเชิงบวกต่อผลกำไรของธุรกิจได้อีกด้วย  ในขณะที่ส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงกว่าปกติจะให้อายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ที่นานกว่า ทว่า หากในที่สุดแล้วตัวผลิตภัณฑ์เองยังมีอายุการเก็บรักษาที่จำกัด เราก็ต้องตั้งคำถามถึงประโยชน์ในการจ่ายเพิ่มสำหรับส่วนผสมที่จะต้องมีความเสถียรและอยู่ได้นานขึ้น  เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ธุรกิจจำนวนมากพยายามที่จะลดการสต็อกสินค้าให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในที่สุด การใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์อัจฉริยะจึงเป็นสิ่งสำคัญ และส่งผลช่วยให้ผู้ผลิตได้รับประโยชน์มากกว่าถึงสามต่อ ทั้งในเรื่องการลดการสูญเสียอาหาร ประหยัดต้นทุนทางธุรกิจ และปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด  ธุรกิจที่มองการณ์ไกลในภูมิภาคเอเชียต่างตระหนักดีถึงเรื่องนี้ และนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ไปปรับใช้กับซัพพลายเชนทั้งหมดของตน เพื่อปูทางไปสู่การลดปริมาณขยะอาหารทั่วโลก

การสูญเสียอาหารเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มในทุกระดับของระบบนิเวศ โดยมีผลสะท้อนและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตทั่วทั้งอุตสาหกรรมจึงค้นหาโซลูชันที่ชาญฉลาดและมีความรับผิดชอบ เพื่อจัดการกับหนึ่งในวิกฤตการณ์เร่งด่วนที่สุดที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทีทีบี จับมือ databricks ผสานพลัง Data และ AI สร้างอนาคตการเงินที่ดีขึ้นให้คนไทย

ทีทีบี ตอกย้ำความมุ่งมั่นผลักดันดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการธนาคารไทย จับมือพันธมิตร databricks พร้อมเดินหน้าสร้าง Data-driven Culture ปักธงก้าวสู่ธนาคารที...

Responsive image

LINE SCALE UP เปิดรับสตาร์ทอัพทั่วโลก ต่อยอดธุรกิจกับ LINE ก้าวสู่ระดับสากล

LINE SCALE UP เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน LINE Thailand Developer Conference 2024 ที่ผ่านมา เฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ และพร้อมต่อยอดธุรกิจร่วมกับ LINE สู่เป้าหมายยกระดับธุรกิจสตา...

Responsive image

MarTech MarTalk 2024 EP.3 จากต้นกล้าสู่ความสำเร็จ ด้วยการพัฒนาคนและ MarTech

ChocoCRM จัดงานใหญ่ส่งท้ายปีกับงาน MarTech MarTalk 2024 EP.3 From Seeds to Success: Driving Business Growth with People and Marketing Technology ได้รับการตอบรับดีอย่างต่อเนื่องเป็น...