HP เผยสถิติและข้อมูลครอบครัวยุคใหม่กับการเรียนรู้ของลูก ชี้พ่อแม่ไทย 65% กังวลเรื่องค่าครองชีพมากที่สุด | Techsauce

HP เผยสถิติและข้อมูลครอบครัวยุคใหม่กับการเรียนรู้ของลูก ชี้พ่อแม่ไทย 65% กังวลเรื่องค่าครองชีพมากที่สุด

  • ผลสำรวจชี้ อนาคตของลูกเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองทุกคนกังวลมากที่สุด โดยพบว่ากังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพ อาชีพที่มั่นคง และการมีทักษะที่พร้อมสำหรับอนาคต
  • ผู้ปกครองไทย 90% ระบุเหตุผลที่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ของลูกเพราะต้องการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ
  • ผู้ปกครองไทยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสานระหว่างสื่อสิ่งพิมพ์กับอุปกรณ์ดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ในด้านศิลปะ 57% ด้านภาษา 56% และดนตรี 41%
  • HP ชี้ว่าการเรียนรู้บนสิ่งพิมพ์กับแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน สื่อการเรียนการสอนจากสิ่งพิมพ์ยังส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กในเชิงบวกมากกว่าการเรียนรู้กับสื่อดิจิทัลเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามครอบครัวในเอเชียยังต้องการการเรียนรู้แบบผสมผสาน

เอชพี อิงค์ ประเทศไทย จัดเสวนา “HP New Asian Learning Experience เปิดประสบการณ์การเรียนรู้ของครอบครัวยุคใหม่” นำโดย คุณปวิณ วรพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย ร่วมเสวนากับ ศาสตราจารย์ ดร. สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งของไทย และครอบครัวนักแสดง ชาตโยดม หิรัญยัษฐิติ พร้อมภรรยา สุนิสา เจทท์ ร่วมแสดงวิสัยทัศน์เปิดมุมมองเกี่ยวกับการเรียนรู้ของเด็กยุคเทคโนโลยี ตลอดจนแนวทาง และบทบาทของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมสำหรับลูกหลานสู่อนาคตที่มั่นคง

“ในฐานะพ่อแม่การให้การศึกษากับลูกหลานอย่างรอบด้านเป็นสิ่งสำคัญ HP ตระหนักในข้อกังวลนี้จึงพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มารองรับสื่อดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ที่จะช่วยให้สนับสนุนการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้แน่ใจว่าลูกหลาน ได้รับการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในแต่ละช่วงวัย” คุณปวิณ วรพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย กล่าว

ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนบทบาทของพ่อแม่ผู้ปกครองต่อการเรียนรู้ของเด็ก และนำเทคโนโลยีมาผสมผสานในการเรียนรู้ HP ได้แสดงผลวิจัยโครงการ New Asian Learning Experience ซึ่งเป็นการสำรวจทัศนคติและบุคลิกลักษณะของ พ่อแม่ยุคใหม่ที่มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์ปัจจัยรอบด้านของผู้ปกครองกลุ่มมิลเลนเนียล จำนวน 3,177 คน จาก 7 ประเทศในเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ อินเดีย จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย

พบว่าความเชื่อและความคาดหวังที่แตกต่างกันไปนั้น ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ปกครองในการกำหนดการเรียนรู้ของลูก การเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเด็กเรียนรู้ ตลอดจนการเสียสละต่างๆ เพื่ออนาคตของลูก

ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงความมุ่งหวังของผู้ปกครองในการเตรียมลูกหลานสู่อนาคต  ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดจากผลของเทคโนโลยี ผู้ปกครองกังวลว่าลูกๆ จะไม่สามารถ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและไม่พร้อมสำหรับการแข่งขันในอนาคตได้ ซึ่งการสำรวจพบข้อมูลเชิงลึกดังนี้:

อนาคตที่มั่นคงของเด็กคือความกังวลสูงสุดของผู้ปกครอง

  • ผลสำรวจโดยรวมชี้ให้เห็นว่า อนาคตที่มั่นคงของเด็ก คือความกังวลสูงสุดของผู้ปกครองทุกคน 66% กังวลเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น 42% กังวลเรื่องความมั่นคงในการทำงาน 54% กังวลเรื่องทักษะที่ถูกต้องต่อบทบาทชีวิตในอนาคต
  • สำหรับผู้ปกครองยุคใหม่ของประเทศไทย 65% กังวลเรื่องค่าครองชีพมากที่สุด และรองลงมา 54% เป็นห่วงเรื่องการสร้างทักษะที่ถูกต้องให้กับเด็กในอนาคต

ผู้ปกครองเอเชียยุคใหม่ ต้องการให้ลูกหลานพัฒนาทักษะทางสังคมควบคู่กับการมีความสุข

  • ผู้ปกครองชาวเอเชียยุคใหม่ต้องการให้ลูกหลานพัฒนาทักษะทางสังคมควบคู่กับการมีความสุข โดย 83% ผู้ปกครองต้องการให้ลูกหลานมีความสุขเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในขณะที่ผู้ปกครองไทย 68% ต้องการให้ลูก สามารถทำได้ดีที่สุดในสิ่งที่พวกเขาทำ และ 66% ของผู้ปกครองไทย ระบุความมั่นคงของงานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ
  • ครอบครัวไทย 61% ยังเน้นเรื่องการพัฒนาทักษะและรูปแบบการเรียนการสอนที่รองรับการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้ของลูกเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต และ 57% ของผู้ปกครองไทยยุคใหม่ต้องการพัฒนาลูกให้ด้านสติปัญญาซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุด

เด็กๆ ต้องถูกเตรียมให้พร้อม สำหรับการเรียนรู้ยุคดิจิทัล

  • การเรียนรู้แบบผสมผสานระหว่างสิ่งพิมพ์และดิจิทัลนั้นมีผลเชิงบวกมากกว่าการเรียนรู้บนสิ่งพิมพ์และบนดิจิทัลเพียงเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง การเรียนรู้บนสิ่งพิมพ์กับบนดิจิทัลให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน และผู้ปกครองเชื่อว่าสิ่งพิมพ์ให้ผลที่ดีกว่าสำหรับการอ่านเพื่อความเข้าใจ การใช้เวลาในการอ่าน การเรียนคำศัพท์และการจดจำ ในขณะที่แพลตฟอร์มดิจิทัลช่วยเรื่องการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการสร้างวิจารณญาณ
  • ผู้ปกครองไทย 57% ใช้การเรียนรู้แบบผสมผสานสำหรับการเรียนรู้ด้านศิลปะ รองลงมาคือการเรียนรู้ด้านภาษา 56% และทักษะดนตรี 41%

ผู้ปกครองช่วยลูกในการเรียนรู้เพราะเป็นโอกาสสร้างความผูกพัน

  • จากผลสำรวจพบว่า ผู้ปกครองชอบใช้เวลาเรียนรู้กับลูกเพราะเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความผูกพันและพัฒนาทักษะด้านปฏิสัมพันธ์
  • การสำรวจยังพบว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนผู้ปกครองสูงสุดถึง 89% ที่ระบุว่า เหตุผลที่ผู้ปกครองเข้าไปมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของเด็ก คือต้องการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ผู้ปกครองเห็นว่าการใช้เวลาเรียนรู้ร่วมกับเด็กเป็นการพัฒนาทักษะในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

ผู้ปกครองยอมเสียสละเพื่อการศึกษาของเด็กๆ โดยการส่งเสริมให้ลูกเรียนพิเศษ

  • ผู้ปกครองชาวเอเชีย 60% ยอมใช้จ่ายไปกับค่าเรียนพิเศษ นอกเหนือจากการเรียนในเวลาปกติ
  • ผู้ปกครองไทย 64% ใช้จ่ายไปกับค่าเรียนพิเศษและสถาบันกวดวิชา 35% ยอมย้ายบ้านเพื่อให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนที่ดี และ 45% ยอมกู้เงินเพื่อการศึกษาของลูก

ผู้ปกครองมีความคาดหวังกับสิ่งที่ปฏิบัติจริงไม่ตรงกัน

  • ในขณะที่ผู้ปกครองมองเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ การท่องเที่ยวและการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เทคโนโลยีสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ แต่พวกเขายังคงให้ลูกๆ เรียนรู้ในกิจกรรมแบบเดิม
  • ผู้ปกครองเชื่อว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการเผชิญกับโลกแห่งความจริง ที่เสริมการพัฒนาความสามารถเชิงสร้างสรรค์และวิจารณญาณ ในขณะที่การเรียนรู้แบบท่องจำนั้นเหมาะสำหรับความรู้ที่อาศัยความจริง อันเป็นฐานในการต่อยอดการพัฒนาทักษะอื่นที่สูงขึ้น
  • ผู้ปกครองไทย 88% ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากประสบการณ์ มากกว่าการเรียนรู้แบบท่องจำที่ 73% เชื่อว่าการเรียนรู้ทั้งสองประเภทจะมีอิทธิพลต่อความสามารถของเด็กในการเลือกทักษะที่จำเป็นเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน

ผลของการสำรวจสรุปกระบวนความคิดของผู้ปกครองในภูมิภาคเอเชียแบ่งออกเป็น 5 ลักษณะ ได้แก่ The Concerned, The Realist, The Typical, The Overachiever และ The Detached ซึ่งสะท้อนลักษณะวิธีการที่ผู้ปกครองให้ความหมายต่อการเรียนรู้ การให้คุณค่าของการเรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขา บทบาทการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเด็กในการเรียนรู้ รวมถึงความห่วงใยต่ออนาคตของลูก

กระบวนความคิดแบบกังวล (The Concerned) - ผู้ปกครองกลุ่มนี้สนใจและกังวลอย่างมากเกี่ยวกับอุปกรณ์ดิจิทัลต่อการศึกษาของบุตรหลาน พวกเขากังวลไม่เฉพาะที่ลูกๆ ต้องเผชิญกับความหลากหลายของเทคโนโลยี แต่รวมถึงผลกระทบที่เทคโนโลยีมีอต่อการเรียนรู้และ ต่อการพัฒนาทักษะในด้านสังคมและการเข้าสังคม ผู้ปกครองกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับวิธีการศึกษาแบบดั้งเดิม มากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเชื่อว่าเด็กๆ จะเสียสมาธิได้ง่าย เมื่อต้องอ่านบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเด็กน่าจะได้เรียนรู้มากขึ้นจากสิ่งพิมพ์หรือตำรา

กระบวนความคิดแบบสัจนิยม (The Realist) - ผู้ปกครองในกลุ่มนี้ให้คุณค่ากับการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ การเล่น และการเรียนรู้สิ่งใหม่ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พวกเขาพร้อมที่จะเปิดรับ เน้นเรื่องการปฏิบัติ ต้องการให้ลูกได้สัมผัสโลกแห่งความเป็นจริง พวกเขาอยากให้ลูกๆ พัฒนาทักษะที่สามารถนำไปปรับใช้นอกเหนือจากในห้องเรียนและจะช่วยให้พวกเขาเป็นเลิศ กลุ่มพ่อแม่ลักษณะนี้จะชื่นชอบอุปกรณ์ดิจิทัล เนื่องจากสามารถช่วยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ไอเดียใหม่ๆ

กระบวนความคิดตามขนบ (The Typical) - ผู้ปกครองในกลุ่มนี้ให้คุณค่ากับการพัฒนาทักษะที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงและการเรียนรู้จากประสบการณ์ ผู้ปกครองลักษณะนี้มีแนวโน้มที่จะยอมรับว่า การเรียนรู้ทั้งทางดิจิทัลและจากสิ่งพิมพ์เหมาะสมและให้ผลการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาทักษะและสติปัญญาด้านคำศัพท์และความเข้าใจ

กระบวนความคิดที่เน้นประสบความสำเร็จ (The Overachiever) - ผู้ปกครองลักษณะนี้เรียกอีกอย่างว่า Tiger Parents มีลักษณะแสดงความต้องการเข้าไปช่วยผลักดันให้เด็กเรียนรู้และควบคุมเนื้อหาและเส้นทางของการเรียนรู้ ให้ลูกได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ พวกเขาเชื่อว่าอุปกรณ์ดิจิทัลจะช่วยให้เด็กๆ ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและไอเดียต่างๆ ในขณะที่สื่อการเรียนรู้ที่เป็นสิ่งพิมพ์และกิจกรรมทางกายภาพช่วยส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

กระบวนความคิดแบบปลีกตัว (The Detached) - ผู้ปกครองกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่เงียบและเก็บตัวมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกกลุ่ม แม้พวกเขาใช้เวลาเรียนรู้กับลูกน้อยที่สุด แต่พวกเขากระตือรือร้นที่จะพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสังคม ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขามีแนวโน้มที่เป็นคนที่เก็บตัว จึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เประเภทท่องจำ การติวเสริม และร่วมกิจกรรมทางสังคม นอกจากนี้ ในด้านการสร้างความผูกพัน พวกเขาต้องการควบคุมเนื้อหาและเส้นทางการเรียนรู้ของลูกๆ โดยแม่จะมีบทบาทในการเรียนรู้ของลูกมากกว่าฝ่ายพ่อ

กระบวนความคิดของผู้ปกครองไทยอยู่ในกลุ่มสัจนิยมมากที่สุด 31% รองลงมาคือกลุ่มกังวล 22% และพบว่า กลุ่มปลีกตัวและกลุ่มตามขนบเท่ากันที่ 17% ส่วนกลุ่มเน้นประสบความสำเร็จมีเพียง 15%

ผลการศึกษา New Asian Learning Experience โดยเอชพีช่วยให้ผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตของเด็กในโลกที่กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เอชพีมุ่งสร้างการเรียนรู้ใหม่สำหรับเด็กวัยเรียน ด้วยนวัตกรรมอุปกรณ์และโซลูชั่นที่จะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเอง เสริมความคิดสร้างสรรค์ สร้างทักษะควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะข้ามวัฒนธรรมและการเรียนรู้ที่เปิดกว้างขึ้น

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

แอดวานซ์เทค ติดท็อป 5 ‘Best Taiwan Global Brands’ 7 ปีซ้อน ขับเคลื่อน Edge AI ด้วยมูลค่า 2.8 หมื่นล้าน

แอดวานซ์เทค (Advantech Co., Ltd.) ผู้นำด้านอุตสาหกรรม IoT ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 5 แบรนด์ชั้นนำระดับโลกของ "2024 Best Taiwan Global Brands" ด้วยมูลค่าแบรนด์ 851 ล้านดอลลาร์...

Responsive image

PLEX MES ก้าวสู่อนาคต ยกระดับอุตสาหกรรมการผลิต ด้วย Smart Manufacturing Solutions

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา วงการอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยการแนะนำ PLEX MES โซลูชันที่เปรียบเสมือน "สมองดิจิทัล" สำหรับโรงงานยุคใหม่ ระบบนี้ถูกออกแบบ...

Responsive image

ทีทีบี คว้ารางวัลธนาคารที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้าธุรกิจ Thailand Best Bank for Corporates

ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) คว้ารางวัล Thailand Best Bank for Corporates จาก Euromoney Awards 2024 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนธุรกิจไทยด้วยโซลูชันดิจิทัลและความยั่งยืนผ่านกรอบ B+ESG พร...