JWD ผนึก a2network บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น รุกบริการจัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand บนโมบายแอป CloudRoom | Techsauce

JWD ผนึก a2network บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น รุกบริการจัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand บนโมบายแอป CloudRoom

บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWD ผนึกกำลัง a2network บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นมาร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ร่วมมือขยายบริการจัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand ผ่านโมบายแอปพลิเคชัน CloudRoom และเว็บไซต์ jwd.cloudroom.me ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการจัดเก็บของเป็นรายชิ้นหรือรายกล่องโดยไม่ต้องเช่าพื้นที่ทั้งห้อง คาดกลางปีหน้ามีผู้ใช้บริการ 2,000 กล่องต่อเดือนและมีจำนวนของที่จัดเก็บสะสมไม่ต่ำกว่า 100,000 กล่องภายใน 5 ปี

JWD ผนึก a2network บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น รุกบริการจัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand บนโมบายแอป CloudRoom

หนุนขยายฐานลูกค้า Self-Storage

คุณชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้วาง กลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าในธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า (Self-Storage) ที่ดำเนินการภายใต้บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี สโตร์ อิท จำกัด ล่าสุดได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Alliance) กับ บริษัท a2network (Thailand) จำกัด บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ให้บริการพื้นที่จัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand ตามความต้องการของลูกค้า 

ผ่านแพลตฟอร์มโมบายแอปพลิเคชัน ‘CloudRoom’ ที่ a2network เป็นผู้พัฒนาขึ้น และเว็บไซต์ jwd.cloudroom.me เพื่อร่วมมือกันนำเสนอการให้บริการดังกล่าวแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คาดว่าจะเริ่มให้บริการแก่ลูกค้า (เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล) ได้ภายในเดือนมีนาคม 2565

โดยความร่วมมือให้บริการจัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand ครั้งนี้ มองว่าจะตอบโจทย์การเพิ่มทางเลือกแก่ผู้บริโภคในการจัดเก็บสิ่งของที่มีจำนวนไม่มาก จึงไม่ต้องการเช่าพื้นที่ทั้งห้องหรือทั้งล็อกเกอร์ในการจัดเก็บ โดยบริษัทฯ จะคิดค่าบริการจัดเก็บตามขนาดสิ่งของ  (ใช้พื้นที่จัดเก็บเท่าไหร่ จ่ายเท่านั้น) และลูกค้าได้รับบริการรับ-ส่งสิ่งของถึงบ้านและนำมาจัดเก็บในพื้นที่ Storage ของบริษัทฯ จึงไม่ต้องเดินทางออกจากที่พักอาศัย ซึ่งจะแตกต่างจากการให้บริการ Self-Storage แบบดั้งเดิมที่ลูกค้าจะต้องนำสิ่งของมาจัดเก็บเอง

“หลังจากเริ่มนำเสนอบริการไปแล้ว เราคาดว่าเมื่อถึงช่วงกลางปีหน้าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 400 รายต่อเดือน คิดเป็นปริมาณสิ่งของที่รับจัดเก็บประมาณ 2,000 กล่องและจะมีจำนวนของที่จัดเก็บสะสมไม่ต่ำกว่า 100,000 กล่องภายใน 5 ปี โดยบริการดังกล่าวเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากกลุ่ม Expat โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาพักอาศัยหรือทำงานในประเทศไทย และมองว่าสามารถขยายการให้บริการแก่ลูกค้าคนไทยที่พักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยจำกัด ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมธุรกิจ Self Storage หรือห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่าของบริษัทฯ ที่สามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น” คุณชวนินทร์ กล่าว

JWD x a2network

ตอบโจทย์ความต้องการใช้บริการจัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand ผ่านแอปพลิเคชันและเว็บไซต์

คุณ Daiki Ito ตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท a2network (Thailand) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มีความยินดีเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ JWD เพื่อร่วมมือกันขยายฐานลูกค้าที่มีความต้องการใช้บริการจัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand ผ่านแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ โดยบริษัทรุกเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวในช่วงต้นปี 2564 

ซึ่งต่อยอดจากความเชี่ยวชาญจากธุรกิจด้านโทรคมนาคม ลูกค้าที่ใช้บริการส่วนใหญ่ประมาณ 90% เป็นชาวญี่ปุ่นที่ทำงานและพักอาศัยในประเทศไทยและมีความต้องการพื้นที่จัดเก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้บ่อย อาทิ อุปกรณ์ตั้งแคมป์ ถุงกอล์ฟ กระเป๋าเดินทาง ชุดสกี เป็นต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับที่อยู่อาศัยปัจจุบัน

ผลตอบรับในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ มีลูกค้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงร่วมมือกับ JWD เพื่อขยายการให้บริการแก่ลูกค้าคนไทย โดยสามารถแจ้งความประสงค์ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ จากนั้นบริษัทฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ ไปรับสิ่งของและนำมาจัดเก็บไว้ที่เจดับเบิ้ลยูดี สโตร์ อิท (JWD Store It!) กรณีจัดเก็บด้วยกล่องกระดาษหรือกล่องพลาสติกที่บริษัทฯ จัดเตรียมให้ (ขนาดเริ่มต้น 34 x 35 x 45 ซม.) คิดค่าบริการ 120 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ผู้ใช้บริการสามารถบันทึกและตรวจสอบรายการสินค้าที่จัดเก็บผ่านทางแอปพลิเคชันและสามารถส่งคำขอใช้บริการรับสิ่งของออกพื้นที่จัดเก็บได้อีกด้วย

JWD ผนึก a2network บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น รุกบริการจัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand บนโมบายแอป CloudRoom

“เรามองว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันแบบวิน-วินทั้งคู่ เนื่องจาก JWD สามารถขยายฐานลูกค้าและบริการโดยไม่ต้องลงทุนเทคโนโลยีและรถขนส่งเพิ่มเติม ส่วนบริษัทฯ มีพื้นที่ให้บริการจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นและสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ที่เป็นกลุ่มคนไทย จากปัจจุบันที่ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็น Expat ชาวญี่ปุ่นที่ทำงานและพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยมองว่าบริการดังกล่าวน่าจะได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัด” คุณ Daiki Ito กล่าวทิ้งท้าย

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

HD เพิ่มทุน Series A เป็น 7.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เดินหน้าขยายตลาด Health Care และ AI ใน SEA

HD แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลซชั้นนำสำหรับบริการสุขภาพและการผ่าตัดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศปิดรอบการระดมทุน Series A-1 โดยมี MSD บริษัทผู้นำด้านเวชภัณฑ์ระดับโลกเข้าร่วมลงทุน ทำให้ก...

Responsive image

Siam AI นำ NVIDIA GB200 NVL72 เข้าไทย ตอกย้ำเป้าหมาย AI Sovereignty

Siam AI ประกาศความสำเร็จในการเป็น NCP รายแรกในเอเชีย ที่นำ NVIDIA GB200 NVL72 สู่ไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ในภูมิภาค พร้อมเดินหน้าสร้าง AI Sovereign Cloud เพื่...

Responsive image

ETDA เปิดตัวโปรเจค 'EDC Trainer Season 4' ปั้นเทรนเนอร์ดิจิทัล พร้อมลุ้นเวที EDC Pitching สมัครด่วนก่อน 12 มี.ค.

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ร่วมมือกับ Dek-D เปิดโครงการ “ETDA Digital Citizen Trainer” หรือ EDC Trainer Season 4 ภายใต้แนวคิด “ส่งต่อความรู้ สู่สังคมดิ...