ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐภายในปี พ.ศ. 25681 คนไทยรุ่นใหม่ยุคมิลเลนเนียลคือหนึ่งในกลุ่มคนที่ชำระเงินทางมือถือมากที่สุดในโลก โดยมีอัตราส่วน 40 เปอร์เซ็นต์ของนักช้อปออนไลน์ในประเทศไทย โดยได้แรงขับเคลื่อนจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค เนื่องจากเทคโนโลยีสามารถเชื่อมต่อผู้คนและอุปกรณ์ที่ใช้ เพื่อเข้าถึงแพลทฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ในปัจจุบันได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีที่มีอายุเกือบ 20 ปี และไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมือถืออย่างเต็มที่ ผู้บริโภคที่ไม่สามารถชำระเงินทางออนไลน์ได้เสร็จสมบูรณ์ต้องยกเลิกการซื้อสินค้าเนื่องจากต้องพบกับประสบการณ์ใช้งานที่ย่ำแย่ การฉ้อโกงและบัตรไม่ได้รับอนุมัติให้ชำระสินค้า (false declines) ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและทำให้พวกเขาถอยห่างจากการชำระเงินด้วยระบบดิจิทัล
มาสเตอร์การ์ด (Mastercard) ได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง Grab, Lazada, Shopee และการบินไทย เพื่อมอบข้อเสนอสุดพิเศษมากกว่า 20 รายการให้แก่นักช็อป เมื่อซื้อสินค้าออนไลน์โดยใช้บัตรมาสเตอร์การ์ด
“การพาณิชย์ออนไลน์มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้น โดยคาดว่าจะมีอัตราส่วน 1 ใน 4 ของการทำธุรกรรมทั้งหมดภายในปี 2568 และมาสเตอร์การ์ดได้เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมอย่างรวดเร็วเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ และสร้างประสบการณ์การทำธุรกรรมที่ราบรื่นและสมบูรณ์แบบให้กับลูกค้า ผ่านกรอบการทำงานที่เรียกว่า “Digital Security Framework” บนพื้นฐานของความปลอดภัยและความสามารถในการขยายการเติบโตของธุรกิจ” ไอลีน ชูว รองประธานบริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจ มาสเตอร์การ์ด ประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ กล่าว
“กรอบการทำงานดังกล่าวประกอบด้วยเสาหลัก 4 ด้าน คือ การยืนยันตัวตน (authentication) การถอดรหัสโทเค็น (tokenization) การปรับปรุงข้อมูลต่อเนื่อง (continuity) และการใช้ข้อมูลอัจฉริยะ (intelligence) เพื่อขจัดอุปสรรคในกระบวนการทำธุรกรรมชำระเงิน”
เทคโนโลยี “authentication” คือการยืนยันความประสงค์ที่แท้จริงของลูกค้าในการชำระเงิน “tokenization” ช่วยป้องกันความเสี่ยงการรั่วไหลของข้อมูลที่บันทึกในร้านค้า “continuity” สร้างความมั่นใจว่าข้อมูลบัตรของลูกค้าที่ถูกบันทึกไว้ในร้านค้ามีการอัพเดตโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการปฏิเสธบัตรที่หมดอายุหรือการเปลี่ยนบัตร และ “intelligence” ช่วยให้ร้านค้าใช้ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจอนุมัติที่มีประสิทธิภาพ การทำงานร่วมกันเหล่านี้ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและมอบประสบการณ์การทำธุรกรรมออนไลน์ที่น่าพอใจ ขจัดอุปสรรคในแต่ละขั้นตอนของวงจรการชำระเงิน
เทคโนโลยีดังกล่าวเกิดขึ้นได้ด้วย EMV 3D-Secure 2.0 (3DS2.0) มาตรฐานการยืนยันตัวตนสำหรับการทำธุรกรรมดิจิทัลทุกรูปแบบที่เชื่อมต่อทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่เมื่อผู้ใช้ลงทะเบียนเข้าบัญชีใช้งานไปจนถึงเมื่อซื้อสินค้า และตั้งแต่ผู้ใช้ยืนยันตัวตนไปจนถึงเมื่อการยืนยันดังกล่าวกลายเป็นการทำธุรกรรมสมบูรณ์ ซึ่งไม่เพียงทำให้ผู้ออกบัตรและร้านค้ามีมาตรฐานการทำงานร่วมกันในระดับโลก แต่ยังช่วยให้ผู้ออกบัตรและร้านค้าสามารถยืนยันตัวตนของผู้บริโภคได้อย่างปลอดภัยและไร้อุปสรรค โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชุดรหัสผ่านครั้งเดียว (OTP) หรือรหัสผ่านสำหรับการทำธุรกรรมที่มีมูลค่าน้อย
อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญในกรอบการทำงานของมาสเตอร์การ์ด คือ “เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนทางอ้อม” ซึ่งใช้ข้อมูลทางชีวภาพและข้อมูลเชิงพฤติกรรมการใช้งานในอุปกรณ์เพื่อแยกผู้ใช้ตัวจริงออกจากผู้ฉ้อโกง เทคโนโลยีนี้จะตรวจวัดผู้ใช้จากรูปแบบการพิมพ์ในสมาร์ทโฟน และแรงกดลงบนหน้าจอระบบสัมผัส รวมถึงสัญญาณอื่นๆ ที่ตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัยและสามารถระบุตัวตนของผู้ใช้ได้อย่างถูกต้อง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด