‘Sea (Group)’ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์มชั้นนำ อาทิ Garena Shopee และ AirPay ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวันชี้เทรนด์และแนวโน้มอุตสาหกรรม E-commerce ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังคงอยู่ในช่วงตลาด ‘Sunrise’ และมีการเติบโตของอุตสาหกรรม E-commerce เติบโตอย่างต่อเนื่อง
แม้นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักต่างก็คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงในปี 2019 เนื่องด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามการค้าระหว่างประเทศและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองว่า E-commerce ในอาเซียนน่าจะยังเติบโตได้อย่างแข็งแรง
รายงานจาก Google และ Temasek ระบุว่า อุตสาหกรรม E-commerce ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 62% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้ยอดขายทั้งหมด (GMV) มีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.1ล้านล้านบาท) ภายในปี 2025 เนื่องจากการที่คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากขึ้นผ่านทางโทรศัพท์สมาร์ทโฟน การลงทุนจากภาคเอกชนและรัฐเพื่อพัฒนาระบบนิเวศน์ของ E-commerce บวกกับการที่ยอดขายบนแพลตฟอร์ม E-commerce ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับเป็นเพียง 3-5% ของยอดขายจากการค้าปลีกทั้งหมด นับว่ามีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับประเทศจีนและสหรัฐอเมริกาที่สัดส่วนยอดขาย E-commerce สูงถึง 20% และ 10% ตามลำดับ
หากเจาะลึกลงไปอีกขั้นจะพบว่าสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดคือ “รูปแบบ”ของการขยายตัวและการพัฒนาของ E-commerce ในภูมิภาคนี้ที่กำลังเปลี่ยนแปลงพลิกโฉมอย่างมหาศาลเช่นกัน โดยมีสามเทรนด์ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ได้แก่
ในปัจจุบันความต้องการของผู้ใช้ E-commerce ไม่หยุดอยู่เพียงแค่การซื้อสินค้าที่ตนเองต้องการ แต่ยังชอบที่จะค้นพบสินค้าใหม่ที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน มองหาความเพลิดเพลินจากการใช้แพลตฟอร์ม E-commerce และพอใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนและผู้คนในแวดวงของตนเอง อีกด้วย ผู้บริโภคอาจเข้าแอพพลิเคชั่นโดยที่ยังไม่มีสินค้าที่อยากซื้ออยู่ในใจ แต่เข้ามาเพื่อมองหาสินค้าและข้อเสนอที่น่าสนใจจากแพลตฟอร์ม E-commerce และสอบถามข้อมูลจากผู้ขายเมื่อพบสินค้าที่ตนเองสนใจ
การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) บวกกับ Big Data เพื่อให้รู้จักผู้บริโภคและสามารถปรับสินค้าแนะนำที่แต่ละคนจะเห็นจึงกลายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังเข้าแอพพลิเคชั่นมาเพื่อเล่นมินิเกม เช่น เกมตอบคำถามแบบในเกมโชว์ ที่ดำเนินรายการโดยดาราที่เราคุ้นเคย เพื่อชิงรางวัลได้เป็นส่วนลดไปใช้ในการช้อปปิ้งต่อได้ ที่สำคัญผู้เล่นยังสามารถเข้าไปเล่นร่วมกับเพื่อนไปพร้อมๆกัน เป็นกิจกรรมไม่ได้ทำคนเดียวแต่มีมิติของสังคมผสมเข้าไปด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพรมแดนระหว่างการช้อปปิ้ง แวดวงสังคม และความบันเทิงจางหายไป ทำให้ตัวชี้วัดความสำเร็จของ E-commerce แพลตฟอร์มก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ปัจจัยที่เมื่อก่อนนักวิเคราะห์อาจไม่สนใจเช่น “ระยะเวลา”ที่ผู้คนใช้บนแอพพลิเคชั่นก็ได้กลายเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป แพลตฟอร์ม E-commerce กำลังได้รับบทบาทใหม่ทางธุรกิจ ที่มากกว่าแค่ ‘ช่องทางจำหน่ายออนไลน์’ แต่ได้กลายเป็นเพื่อนคู่คิดของแบรนด์ออฟไลน์ต่างๆ โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ดาต้า คาดการณ์ความต้องการผู้บริโภค ช่วยนำเสนอแนวทางการโฆษณาและ ทำการตลาด โปรโมชั่น รวมไปถึงแก้ปัญหาเรื่องโลจิสติกส์ การชำระเงิน เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น อีกด้วย แม้ผู้ค้าปลีกต่างๆจะเห็นความสำคัญของตลาดออนไลน์มานานแล้วสิ่งที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนก็คือ ร้านและแบรนด์ออฟไลน์ทุกเจ้าไม่จำเป็นต้องเปิดและลงทุนเงินมหาศาลในการสร้างร้านออนไลน์ของตนเองจากศูนย์เพราะสามารถหันมาจับมือใช้บริการของ E-commerce แพลตฟอร์มที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนี่ได้
เทรนด์นี้ได้เกิดขึ้นแล้วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงที่ผ่านมาแบรนด์ที่ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภค และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ อาทิ ‘Miniso’ ในสิงค์โปร ‘Nestle’ ในมาเลเชีย และ ‘Big C’ ในประเทศไทย ได้เปิดร้านในแพลตฟอร์ม E-commerce และร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อพัฒนาบริการให้ผู้บริโภค
แพลตฟอร์ม E-commerce สามารถช่วยให้กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย หรือ กลุ่ม ‘micro-entrepreneurs’ และ SME เข้าถึงตลาดใหม่ๆ ที่ไม่ได้กำจัดพื้นที่อยู่แค่ตลาดท้องถิ่นที่ผู้ประกอบการรายย่อยนั้นดำเนินการอยู่ อีกทั้งยังสร้างโอกาสให้กับแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ให้เข้าถึงกลุ่มตลาดใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ตลาดหลักดั้งเดิมของแบรนด์นั้นๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของ Shopee ได้ทำงานร่วมกับธุรกิจจำหน่าย ‘ปลาร้า’ แห่งหนึ่งซึ่งปกติจะพบข้อกำจัดด้านการจัดส่งและการเข้าถึงลูกค้า หลังจากได้เปิดช่องทางออนไลน์ SME รายนี้สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึงสองเท่าในเวลาสามเดือน จนสุดท้ายติดลมบนพัฒนาจนกลายเป็นผู้ส่งออกไปต่างประเทศเช่น ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์
แต่ความสำเร็จเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะยังมี SME จำนวนมากที่ไม่คุ้นกับการใช้ E-commerce โดยการศึกษาของ ‘Bain & Company’ ชี้ให้เห็นว่าแม้วิสาหกิจขนาดย่อมส่วนใหญ่ของไทยเห็นประโยชน์ของการขายออนไลน์ มีไม่ถึง 50%ที่ได้ทำจริง การร่วมมือกันระหว่าง E-commerce แพลตฟอร์มและรัฐบาลในการจัดคอร์สอบรมเพื่อช่วยให้ร้านค้าเหล่านี้ใช้ E-commerceได้เต็มที่อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงฝั่งผู้ขายเท่านั้นที่จะเชื่อมเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคที่อาจอยู่ในถิ่นที่ไม่ค่อยมีร้านค้าปลีกให้เลือกมากนักก็สามารถใช้E-commerceเพื่อให้ได้สินค้าโดยเฉพาะของจำเป็นที่ต้องการได้ โดยข้อมูลของช้อปปี้ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้าที่อาศัยอยู่นอกเขตเมืองหลวง ได้กลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีความสำคัญมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
E-commerce ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยนั้นเปรียบเสมือนยังอยู่ใน “วัยเยาว์” ที่ไม่เพียงเติบโตอย่างรวดเร็วแต่มีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการอยู่ตลอด ต้องลองมาจับตาดูว่าปี 2019 นี้เทรนด์เหล่านี้จะมีผลอย่างไรต่อธุรกิจและเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างไรบ้าง
ดร. สันติธาร เสถียรไทย Group Chief Economist Sea (Group) กล่าวว่า “ปี 2018 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีของอุตสาหกรรม E-commerce โดยเรายังได้เห็นแนวโน้มการเติบโตของ E-commerce อย่างต่อเนื่อง สำหรับ Sea (กรุ๊ป) เราเดินหน้าสู่ความเป็นผู้นำการให้บริการอินเตอร์เน็ตแพลตฟอร์มของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีศักยภาพครอบคลุมพร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานในยุคดิจิตอล ภายใต้พันธกิจ ‘Connecting the dots’ ในฐานะผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมทั้งบนระบบคอมพิวเตอร์พื้นฐาน เราพร้อมเดินหน้าพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการ ให้มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทุกคน และหวังว่าเทรนด์ E-commerce ที่น่าจับตาในปี 2019 นี้ จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโดยกว้าง”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด