สรุป 35 ความเสี่ยงจาก Global Risks Report 2025 ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม | Techsauce

สรุป 35 ความเสี่ยงจาก Global Risks Report 2025 ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

กลับมาอีกครั้งกับ Global Risks Report 2025 หรือรายงานความเสี่ยงระดับโลกปี 2025 ที่จัดทำโดย World Economic Forum ที่เปิดเผยข้อมูลจากการสำรวจ Global Risks Perception Survey (GRPS) ประจำปี 2024–2025 ซึ่งดึงความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 900 คนทั่วโลก มาวิเคราะห์กันแบบเจาะลึกถึงความเสี่ยงสำคัญที่โลกอาจต้องเผชิญในอนาคต โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา เพื่อให้เรารู้ทันและเตรียมรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ระยะสั้น (ปี 2025) 
  • ระยะกลาง (ปี 2027)
  • ระยะยาว (ปี 2035)

ซึ่งคำว่า ‘ความเสี่ยงระดับโลก’ หมายถึง ความเป็นไปได้ของการเกิดเหตุการณ์หรือสภาวการณ์ต่าง ๆ ซึ่งถ้าความเสี่ยงนั้น ๆ เกิดขึ้นอาจจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อสัดส่วน GDP โลก ประชากร หรือทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้นโดยความเสี่ยงจะถูกแบ่งออกเป็น 5 หมวด ดังนี้

  1. ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ (Economic) - สีฟ้า
  2. ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) - สีเขียว 
  3. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) - สีส้ม
  4. ความเสี่ยงด้านสังคม (Societal) - สีแดง
  5. ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี (Technological) - สีม่วง

หากคุณคือผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้บริหาร ความเข้าใจใน "ความเสี่ยง" เหล่านี้สามารถช่วยให้คุณเตรียมแผนรับมือ และเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสได้ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 35 ความเสี่ยงสำคัญที่ธุรกิจต้องรู้ !

10 ความเสี่ยง ที่อาจก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ระดับโลกในปี 2025

จากการสำรวจความเห็นในเรื่องภาพรวมความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ระดับโลกในปี 2025 มีการจัดลำดับความเสี่ยงสำคัญ 33 รายการ โดยผลสำรวจระบุว่า 10 อันดับแรกแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญกังวลมากที่สุดอันดับที่ 1 คือ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ในด้านความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างรัฐ (State-based armed conflict) ที่เกิดจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย รวมถึงสถานการณ์ในตะวันออกกลางและซูดาน ยังคงเป็นความกังวลหลักในระยะหลังปี 2025 ได้รับการโหวตสูงถึง 23% ตามมาด้วย 

  • อันดับที่ 2 ความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม (14%) ในด้านเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง (Extreme weather events) 
  • อันดับที่ 3 ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (8%) ในด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geoeconomic confrontation)
  • อันดับที่ 4 ความเสี่ยงทางสังคม (7%) ในด้านข้อมูลที่ผิดและการบิดเบือน (Misinformation and disinformation)
  • อันดับที่ 5 ความเสี่ยงทางสังคม (6%) ในด้านความแตกแยกทางสังคม (Societal polarization)
  • อันดับที่ 6 ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ (5%) ในด้านภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic Downturn)
  • อันดับที่ 7 ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (4%) ในด้านการเปลี่ยนแปลงของระบบโลก (Critical Change to Earth Systems)
  • อันดับที่ 8 ความเสี่ยงด้านสังคม (3%) ในด้านการขาดโอกาสทางเศรษฐกิจหรือการว่างงาน (Lack of Economic Opportunity or Unemployment)
  • อันดับที่ 9 ความเสี่ยงด้านสังคม (2%) ในด้านการเสื่อมถอยของสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพลเมือง (Erosion of Human Rights and/or Civic Freedoms)
  • อันดับที่ 10 ความเสี่ยงด้านสังคม (2%) ในด้านความไม่เท่าเทียมกัน (Inequality) 

เห็นได้ชัดว่าความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ ภูมิรัฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ครองอันดับต้น ๆ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน เช่น สงครามและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงทาง เทคโนโลยี เช่น ผลกระทบจาก AI หรือการโจมตีทางไซเบอร์ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง แม้จะมีผู้กังวลในสัดส่วนที่ต่ำกว่า

10 ความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ระดับโลกในปี 2027

สำหรับความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ระดับโลกในอีก 2 ปีข้างหน้า พบว่ามี 10 อันดับที่ผู้เชี่ยวชาญกังวลมากที่สุด ได้แก่

  • อันดับที่ 1 การบิดเบือนข้อมูลและการให้ข้อมูลผิด (Misinformation and Disinformation) ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือบิดเบือนส่งผลให้เกิดความไม่เชื่อถือในสถาบันและระบบการเมือง รวมถึงเพิ่มความขัดแย้งในสังคม
  • อันดับที่ 2 เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง (Extreme Weather Events) เช่น สภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรง อย่างพายุ ไฟป่า และน้ำท่วม มีผลกระทบต่อชีวิต เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมโดยตรง
  • อันดับที่ 3 ความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างรัฐ (State-Based Armed Conflict) การต่อสู้ทางการเมืองและการทหารระหว่างประเทศ เช่น สงคราม ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงโลก
  • อันดับที่ 4 การแบ่งแยกทางสังคม (Societal Polarization) ความขัดแย้งในมุมมองและค่านิยมของกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งทำให้เกิดความแตกแยก
  • อันดับที่ 5 การโจรกรรมข้อมูลและสงครามทางไซเบอร์ (Cyber Espionage and Warfare) การโจมตีระบบดิจิทัล เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลหรือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้
  • อันดับที่ 6 มลพิษ (Pollution) การปล่อยของเสียที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์และระบบนิเวศ
  • อันดับที่ 7 ความไม่เท่าเทียมกัน (Inequality) ความแตกต่างในด้านรายได้และโอกาสสร้างความขัดแย้งและลดเสถียรภาพทางสังคม
  • อันดับที่ 8 การย้ายถิ่นฐานหรือการพลัดถิ่นที่ไม่สมัครใจ (Involuntary Migration or Displacement) การพลัดถิ่นของผู้คนเนื่องจากความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติ
  • อันดับที่ 9 ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geoeconomic Confrontation) การแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อการพัฒนาและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  • อันดับ 10 การเสื่อมถอยของสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพลเมือง (Erosion of Human Rights and Civic Freedoms) อย่างการลดลงของสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เช่น การจำกัดเสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็น

10 ความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ระดับโลกในปี 2035

สำหรับความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ระดับโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า พบว่ามี 10 อันดับที่ผู้เชี่ยวชาญกังวลมากที่สุด ได้แก่

  • อันดับที่ 1เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง (Extreme Weather Events) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เลวร้ายยิ่งขึ้น
  • อันดับที่ 2 การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศ (Biodiversity Loss and Ecosystem Collapse) การสูญเสียสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศที่สำคัญต่อมนุษย์
  • อันดับที่ 3 การเปลี่ยนแปลงระบบของโลก (Critical Change to Earth Systems) การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโลกที่ไม่สามารถกลับคืนได้
  • อันดับที่ 4 การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resource Shortages) ทรัพยากรสำคัญ เช่น น้ำและพลังงานลดลง
  • อันดับที่ 5 การบิดเบือนข้อมูลและการให้ข้อมูลผิด (Misinformation and Disinformation) การกระจายข้อมูลผิดที่ยังคงเป็นปัญหาระยะยาว
  • อันดับที่ 6 ผลกระทบด้านลบจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Adverse Outcomes of AI Technologies) ความกังวลจากการใช้งานเทคโนโลยี AI อย่างไม่มีการควบคุม
  • อันดับที่ 7 ความไม่เท่าเทียมกัน (Inequality) ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม
  • อันดับที่ 8 การแบ่งแยกทางสังคม (Societal Polarization) ความแตกแยกที่ยังคงส่งผลระยะยาว
  • อันดับที่ 9 การโจรกรรมและสงครามทางไซเบอร์ (Cyber Espionage and Warfare) การโจมตีทางไซเบอร์ที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ
  • อันดับที่ 10 มลพิษ (Pollution) ผลกระทบจากมลพิษที่สะสมอย่างต่อเนื่อง

5 ความเสี่ยงระดับประเทศที่สำคัญสำหรับประเทศไทย

ในปี 2024 การสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหาร (Executive Opinion Survey - EOS) ได้เปิดเผย 5 ความเสี่ยงสำคัญที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในระดับประเทศและความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงระดับโลก รายละเอียดดังนี้

  • อันดับที่ 1 ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic Downturn) ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยคือภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น การหดตัวของเศรษฐกิจ (Recession) และการหยุดนิ่ง (Stagnation) ภาวะนี้ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน การลงทุน และการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศ
  • อันดับที่ 2 หนี้ภาคเอกชน (Private Debt) ปัญหาหนี้สินขององค์กรเอกชนและครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย อาจกลายเป็นภาระทางการเงินและลดโอกาสทางเศรษฐกิจ
  • อันดับที่ 3 มลพิษ (Pollution) มลพิษในรูปแบบต่าง ๆ เช่น มลพิษทางอากาศ น้ำ และดิน ถูกจัดเป็นความเสี่ยงอันดับ 3 โดยประเทศไทยยังคงเผชิญปัญหานี้ในระดับที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
  • อันดับที่ 4 ความยากจนและความไม่เท่าเทียม (Poverty and Inequality) ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความมั่งคั่งในประเทศยังคงเป็นความเสี่ยงอันดับ 4 ปัญหานี้มีผลต่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว รวมถึงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางสังคม
  • อันดับที่ 5 หนี้สาธารณะ (Public Debt) หนี้สาธารณะถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 5 โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การบริหารหนี้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและลดผลกระทบต่อการลงทุนในอนาคต

จากผลสำรวจจะเห็นว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจถดถอยและปัญหาหนี้สินที่เป็นปัจจัยสำคัญ การจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ต้องการความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาว

อ้างอิง: www.weforum.org 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เตรียมพร้อมรับมือการหยุดชะงักด้านพลังงานจาก AI ในอนาคต

การเติบโตของ AI กำลังเพิ่มความต้องการพลังงานอย่างมหาศาล องค์กรต้องปรับกลยุทธ์รับมือกับปัญหาด้านพลังงาน ดาต้าเซ็นเตอร์ และต้นทุนที่สูงขึ้น เพื่อความยั่งยืนในอนาคต...

Responsive image

รักโลกต้องทำงาน 4 วัน ทั้งปลดล็อกชีวิตสมดุล และลดคาร์บอนปีละ 127 ล้านตัน

จะดีแค่ไหน หากการมีวันหยุดเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ ไม่เพียงแต่ทำให้ชีวิตสมดุลขึ้น แต่ยังช่วยรักษ์โลกได้อีกด้วย? รายงานล่าสุดเผยว่า การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ไม่เพียงเพิ่มเวลาว่างถึง 50% ...

Responsive image

ปัญหา Jobs Gap กำลังเปลี่ยนโลกแรงงาน อีก 10 ปีข้างหน้า 800 ล้านคนอาจไม่มีงานทำ

สำรวจความท้าทายด้านการจ้างงานในอนาคตเมื่อ AI เข้ามามีบทบาท พร้อมแนวทางแก้ไขช่องว่างงานกว่า 400 ล้านตำแหน่งทั่วโลกจากการเสวนาในงาน World Economic Forum 2025...