กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับ สำนักข่าว TNN World จัดกิจกรรม BIMSTEC Young Gen Forum: Where the Future Meets งานสัมมนาพิเศษที่จัดเวทีให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ในประเทศสมาชิก BIMSTEC มาแลกเปลี่ยนแนวคิดและความเห็นในสาขาที่แต่ละประเทศเป็นแกนหลัก ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดคู่ขนานไปกับการประชุมผู้นำ บิมสเทค (BIMSTEC) ครั้งที่ 6 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยงานสัมมนานี้ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ยูนุส (Professor Muhammad Yunus) ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลบังกลาเทศ มากล่าวปาฐกถาพิเศษเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ และบทบาทของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ในวันที่ 3 เมษายน 2025 ณ ICON CINECONIC ศูนย์การค้า ICONSIAM
Professor Muhammad Yunus
เกรินก่อนว่า บิมสเทค (BIMSTEC) ย่อมาจาก Bay of Bengal Initiative for MultiSectoral Technical and Economic Cooperation คือ กรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ซึ่งมีการจัดการประชุมผู้นำประเทศสมาชิก BIMSTEC
ปัจจุบัน BIMSTEC มี 7 รัฐสมาชิก ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์กันในด้านการค้า วัฒนธรรม อารยธรรม และส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ BIMSTEC ยังแบ่งความร่วมมือออกเป็น 7 สาขา และให้แต่ละประเทศแยกกันเป็นผู้นำในแต่ละสาขา ได้แก่
และสำหรับ BIMSTEC Young Gen Forum เป็นงานสัมมนาเกี่ยวเนื่องที่เปิดให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ในกลุ่มประเทศ BIMSTEC มาถ่ายทอดประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือใน 7 สาขาข้างต้น

คุณไพศาล หรูพาณิชย์กิจ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
ในวันงานสัมมนา BIMSTEC Young Gen Forum: Where the Future Meets คุณวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คุณจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ คุณไพศาล หรูพาณิชย์กิจ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ มาให้การต้อนรับ โดยคุณไพศาลเป็นผู้กล่าวเปิดกิจกรรม เน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น BIMSTEC ในการรับมือกับความท้าทายร่วมกันจากความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ 'ผู้ประกอบการรุ่นใหม่' ที่จะเป็นกุญแจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างภูมิภาคให้เข้มแข็งต่อไป
ศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ยูนุส ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลบังกลาเทศ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ปี 2549 และผู้ก่อตั้ง Grameen Bank กล่าวขอบคุณถึงโอกาสอันดีที่ได้มาร่วมงาน BIMSTEC ต่อด้วยการแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาและไทย จากนั้นเข้าสู่ประเด็นพลังสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ การเริ่มจากสิ่งใหม่เล็กๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ การให้ความสำคัญกับจินตนาการ และที่สำคัญ แนะให้ตั้งเป้าหมายในชีวิตที่นอกเหนือจากการหารายได้ให้ตัวเอง กับบทบาทของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เช่น การทำธุรกิจเพื่อสังคม (Social Business) สร้างความยั่งยืนขึ้นบนโลกใบนี้
"ผมมุ่งสร้างบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้คนจน คนด้อยโอกาส ไปต่อได้ง่ายขึ้นและได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยคิดเพียงว่า ถ้าสามารถเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งได้ การมีชีวิตอยู่ของผมก็คุ้มค่า และถ้าผมสามารถเปลี่ยนชีวิตหลายๆ คนได้ แน่นอนว่า นั่นทำให้ผมมีความสุข" ศาสตราจารย์ยูนุสกล่าว

เราควรรับฟังแรงบันดาลใจจากคนหนุ่มสาว - ศาสตราจารย์ยูนุสเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรับฟังความหวังและแรงบันดาลใจของเยาวชนคนรุ่นใหม่ เชื่อในศักยภาพและสนับสนุนให้ริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ
ที่มาของแนวคิดเรื่อง ระบบการเงินรายย่อย (Microfinance) - ศาสตราจารย์ยูนุสเล่าถึงความอดอยากอย่างรุนแรงของชาวบังกลาเทศในอดีต ประสบการณ์ในการให้ผู้หญิงที่ติดเงินเจ้าหนี้นอกระบบ ยืมเงินจำนวนไม่มากนัก ซึ่งจุดประกายให้เกิดแนวคิดเรื่องระบบการเงินรายย่อย
จุดประสงค์ที่ก่อตั้ง ธนาคารกรามีน (Grameen Bank) - ศาสตราจารย์ยูนุสบรรยายถึงการก่อตั้งธนาคารกรามีน ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อคนจน โดยยึดหลักการให้กู้ยืมโดยไม่มีหลักประกัน และมุ่งเน้นไปที่คนยากจนหรือผู้ด้อยโอกาส
อธิบายความสำคัญและประโยชน์ของการทำธุรกิจเพื่อสังคม (Social Business) - ศาสตราจารย์ยูนุสแนะนำแนวคิดธุรกิจเพื่อสังคม โดยใช้คำว่า Social Business (นำมาสู่แนวคิด SE : Social Enterprise ในปัจจุบัน) ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่ 'การแก้ปัญหา มากกว่าการสร้างกำไรสูงสุด' โดยให้นำผลกำไรที่ได้ไปลงทุนอะไรใหม่ๆ เพื่อขยายธุรกิจและทำให้ผู้คนเข้าถึงได้มากขึ้น

หลัก Three Zero : Zero Poverty, Zero Unemployment and Zero Net Carbon Emissions - ศาสตราจารย์ยูนุสกล่าวถึงเป้าหมาย 'หลักสามศูนย์' ที่ต้องขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อสร้างความยั่งยืน นั่นคือ ความยากจนเป็นศูนย์ การว่างงานเป็นศูนย์ และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ทำธุรกิจเพื่อสังคม - ศาสตราจารย์ยูนุสแนะนำให้คนรุ่นใหม่ศึกษาหาความรู้ แล้วมาเป็นผู้ประกอบการทางสังคม โดยให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาต่างๆ แทนการคิดเรื่อง 'หางานทำ' เพื่อไม่ให้ตกเป็น 'ทาส' ของระบบต่างๆ ในท้ายที่สุด
ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันเพิ่มความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียม - ระบบเศรษฐกิจและการธนาคารมีส่วนสำคัญที่ทำให้ความไม่เท่าเทียมรุนแรงยิ่งขึ้น ความมั่งคั่งอยู่ในมือของคนกลุ่มเดียว นับวันก็ยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลง เราจึงควรเปลี่ยนเป็นระบบเศรษฐกิจแห่งความเห็นอกเห็นใจและความยั่งยืน โดยให้อำนาจแก่คนรุ่นใหม่ในการจัดการปัญหาสังคม และเน้นเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน มากกว่าการสร้างกำไรสูงสุด
คำแนะนำสำหรับคนรุ่นใหม่ : ผู้ประกอบการและครีเอเตอร์รุ่นใหม่ควรเน้นการพึ่งพาตัวเอง สร้างรายได้ได้ด้วยตัวเอง อย่ารอแต่ 'เงินลงทุน' หรือ 'เงินบริจาค' หรือ 'ภาครัฐ' ด้วยการกำหนด จุดมุ่งหมายในชีวิต (Purpose of Life) ให้ชัด และใช้ จินตนาการ (Imagine) ในการคิดและสร้างสรรค์ว่า จะแก้ปัญหาอะไร และทำให้สิ่งนั้นงอกเงยเป็นเงินได้อย่างไร
นอกเหนือจากประเด็นข้างต้น ศาสตราจารย์ยูนุสกล่าวถึง Healthcare ว่าเป็นกรณีศึกษาของ Social Business ได้เป็นอย่างดี

ในช่วงโควิด-19 เราผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่เพื่อให้เกิด 'วัคซีนที่ไม่มีสิทธิบัตร' ไม่ได้บอกว่าต้องให้ฟรี แค่ไม่มีสิทธิบัตร เพราะถ้ามีสิทธิบัตร นั่นหมายความว่า คุณจดเพื่อปกป้องสิทธิ์สำหรับตัวเอง คุณสามารถเรียกเงินจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ที่คุณต้องการ มันเป็นการผูกขาดไหมล่ะ? เอาเรื่องผูกขาดนี้ออกไปสิ แล้วขายในราคาที่ควรจะเป็น
จากนั้นศาสตราจารย์ยูนุสเล่าย้อนไปถึงการลงคะแนนเสียงเรื่องจดสิทธิบัตรวัคซีนของกลุ่มประเทศภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ที่สุดท้ายลงคะแนนเสียงให้จดสิทธิบัตรวัคซีนและเกิดผลกระทบตามมา
"วัคซีนป้องกันโควิด-19 ถูกส่งไปยังประเทศร่ำรวยในราคาที่สูงมาก ทำให้บริษัทหลายแห่งมีรายได้หลายพันล้านดอลลาร์ น่าเสียดาย...ที่คุณทำเงินโดยแลกกับชีวิตของคน ผู้คนจำนวนมากหรือหลายล้านคนบนโลกไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้รับวัคซีนที่ไม่ผ่านการจดสิทธิบัตร แต่หากตอนนั้นเพิกถอนสิทธิบัตรได้ หลายประเทศก็จะสามารถเป็นผู้ผลิตและเราคงหาวัคซีนได้จากทุกที่
"และตั้งแต่ที่เรารณรงค์ให้บริษัทยากลายเป็นธุรกิจเพื่อสังคม วันนี้คงจะเสียค่ายาเพียง 1 เพนนีสำหรับการผลิตยานั้น แต่บริษัทกลับเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภคเป็นดอลลาร์ กลายเป็นตลาดเสรีที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ บอกได้เพียงว่า 'การสร้างธุรกิจเพื่อสังคม' เป็นสิ่งเดียวที่จะพาเราหลีกหนีจากเรื่องนี้"
ในตอนท้าย ศาสตราจารย์ยูนุสย้ำเรื่องการสร้างความเปลี่ยนแปลงว่า เกิดขึ้นได้ด้วยจินตนาการ
"ผมต้องการเปลี่ยนโลก ผมไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่ชอบสงคราม ผมต้องการสร้างโลกตามแนวคิดที่ผมต้องการให้เป็น และนั่นคือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นเพราะ 'จินตนาการ' คำนี้สำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ทุกคน ผมอยากให้ลองนึกภาพโลกที่คุณต้องการ สิ่งที่คุณต้องการ ถ้าคุณจินตนาการ ไม่ว่าคุณจะจินตนาการอะไรก็ตาม มันจะเกิดขึ้น แต่ถ้าคุณไม่จินตนาการ มันก็จะไม่เกิดขึ้น จินตนาการจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในชีวิตของมนุษย์ทุกคน"
Sign in to read unlimited free articles