แม้คุณจะมีทีมวิศวกรดูแลด้าน back-end และ front-end ที่สุดยอด แต่ก้าวถัดไปที่สำคัญคือการสอนและอบรมพวกเขาในด้านเทคนิคของอีเมลโดยเฉพาะเลย
อีเมลเป็นอะไรที่ยังอยู่ในรูปแบบฟอร์แมตแบบเก่าๆ กว่า 10 ปี ต้องเรียนรู้เรื่อง Base64, Quoted-Printable, UTF-8, MIME, Multipart และอื่นๆ อีกมายมายกว่าจะแสดงผลอีเมลแรกได้อย่างถูกต้อง
การทำ Minimum Viable Product (MVP) สำหรับกรณีนี้เป็นอะไรที่ยาวนาน ซับซ้อน และกระบวนการที่ปวดหัวใช่ย่อย ก่อนที่จะได้เวอร์ชั่นที่เสถียรใช้งานได้ออกมาสักเวอร์ชั่นหนึ่ง ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้นได้ก็ต้องใช้คนเก่งทั้งด้านการออกแบบและเทคนิค สำหรับ Mailbox แล้ว พวกเขามีทีมวิศวกร 12 คน และมีสุดยอดนักออกแบบ 1 คน แต่พวกเขาก้าวไปไม่ถึงจุดที่ทำให้เกิด product ที่เป็นเวอร์ชั่นที่เสถียรเวอร์ชั่นแรกได้นั่นเอง
การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องยาก
Gmail เป็นบริการฟรี! Mail.app ก็ฟรี! Yahoo Mail หล่ะ ก็ฟรี! และ product ของพวกเขาก็ยังใช้ได้ดี เลยเป็นการยากที่ผู้ใช้จะจ่ายเงินให้กับ Email Client ใหม่แม้เพียงไม่กี่ดอลล่าร์ Dropbox แทบไม่มีหวังเลยในการทำเงินจาก Mailbox ได้
ลองมาดูคู่แข่งรายอื่นๆ การขายอีเมลแอปฯ แบบโดดๆ นั้น เป็นเรื่องแทบจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ Sparrow แม้จะเคยทำมาก่อนแต่สุดท้ายก็ขายให้กับ Google ถ้าคุณต้องการทำตลาดแบบ B2C ทางเลือกเดียวที่คุณจะทำได้คือเปิดให้ใช้ฟรี และรอให้มีคนมาซื้อกิจการไป แต่นั่นก็อาจไม่ได้เป็นข่าวดีเสมอไป.. เมื่อคุณถูกซื้อกิจการไป คุณก็จะเสีย 2 สิ่งหลักๆ สิ่งแรกแน่นอนเลยแรงกระตุ้นที่มาจากหุ้น เมื่ออำนาจถูกเปลี่ยนไป คุณอาจไม่สามารถที่จะนำเสนอหุ้นเพื่อดึงคนเก่งๆ เข้ามา อีกเรื่อง เป้าหมายที่ตั้งไว้แต่แรกอาจเปลี่ยนไป ช่วงๆ แรกก่อนขายกิจการ คุณเปิดให้คนใช้ฟรี จุดวัดก็คือจำนวนคนมาใช้ ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำก็คือสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้จงได้เพื่อให้ลูกค้าชื่นชอบ แต่หลังจากการขายธุรกิจไปแล้ว เป้าหมายคุณอาจต้องปรับเปลี่ยนไปเพื่อช่วยบริษัทแม่ของคุณในการหารายได้
ในอนาคตข้างหน้าของอีเมลอาจไม่มี UI ใหม่ก็ได้
Startup มากมายพยายามแก้ปัญหาของ email client โดยการปรับเปลี่ยน User Interface ใหม่ ไอเดียคือการปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานให้สวย มีแอปฯ จำนวนน้อยมากที่พยายามจะแก้ปัญหาของการใช้งานอีเมลในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ User Interface
ลองมองอีกมุมหนึ่ง ในแง่การใช้งานบางทีมันอาจไม่จำเป็นต้องไปแก้เรื่องของ Interface ก็เป็นได้ ปัจจุบันอีเมลถูกใช้เพื่อหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ทั้งการสื่อสารส่วนตัว การทำงานร่วมกัน การเก็บไฟล์ ใช้ในการ support ลูกค้า ปฏิทิน To-do list และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้าจะพูดถึงการใช้งานแบบนี้ จริงๆ คือไม่ต้องเปลี่ยนแปลง Interface ก็ได้ แต่เป็นการหันไปทำเครื่องมือที่สะดวกกว่าการใช้อีเมลในการสื่อสารเป็นการทดแทน อาทิเช่น
เครื่องมือในการทำงานร่วมกัน อย่าง Yammer, Asana, Trello, Basecamp, Notes เป็นต้น
เครื่องมือเก็บไฟล์ในการสื่อสาร มีทั้ง Box, Google Drive, Dropbox เป็นต้น
เครื่องมือการสื่อสารในทีมอย่าง Slack, HipChat เป็นต้น
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อีเมลก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เมื่อ 2 คนต่างองค์กรกัน ต้องการสื่อสารกันในเชิงธุรกิจ อีเมลก็เป็นเสมือน Protocol สื่อสารหลัก ที่ใช้มายาวนานกว่าครึ่งศวรรษ มันคงยังไม่หายไปไหนเร็วๆ นี้แน่นอน
=======================================================
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากบทเรียนนี้ ไม่ว่าคุณจะทำ Product อะไรก็ตาม แม้แต่ Email Client เองที่เมื่ออ่านบทวิเคราะห์มาถึงจุดนี้แล้ว ก็ต้องกลับไปที่แก่นเดิม ตอบให้ได้ว่า
- ลูกค้าจริงๆ แก่นแท้แล้วต้องการอะไรกันแน่
- คุณต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีอยู่จริงๆ การจะเปลี่ยนพฤติกรรมที่เขาเคยชินอยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย อะไรคือ Value หรือประโยชน์ที่แท้จริงที่ Product คุณส่งมอบให้ลูกค้าได้ ถ้าคุณไม่สามารถทำให้พวกเขารู้ได้ในช่วงไม่กี่นาทีแรก ว่าเขาใช้แล้วได้อะไร โอกาสที่เขาจะกลับมาใช้ของคุณก็แทบเรียกว่าเป็น 0 เพราะทุกวันนี้ผู้บริโภคมีตัวเลือกเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ยิ่งโมบายแอปฯ แล้ว ลงเร็ว ลบเร็ว อย่างไว... ไวแค่ไหน นึกถึงตัวเองเวลาลองโหลดแอปฯ มาใช้ เปิดๆ แล้วไม่ชอบ ก็ลบทิ้งดูก็ได้ เป็นแบบนั้นเลย
- สุดท้ายเมื่อรู้แล้วว่าอะไรคือ Core Value จริงๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะนำไปสู่การเลือกฟีเจอร์มาพัฒนาให้เป็น MVP ในการทดสอบตลาดต่อไป