Juan Lavista Ferres รองประธานและหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลของ Microsoft AI for Good Lab มองว่า AI เป็นโอกาสที่มนุษยชาติจะสามารถเอาชนะโรคร้ายได้
ในบทความนี้ Tecesauce จะพามารู้จักกับ AI ทางการแพทย์วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ อ่านผลอัลตราซาวด์ และพบแพทย์ทางไกล ซึ่งเป็นตัวช่วยทางการแพทย์ที่เพิ่มโอกาสในการรักษาให้สำเร็จ และลดความผิดพลาดจาก Human Error ของแพทย์
มะเร็งเต้านมคร่าชีวิตคนมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากมะเร็งปอด และเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด ซึ่งหากรู้เร็วก็จะสามารถรักษาให้หายได้ง่าย ในการตรวจหามะเร็งเต้านมจะต้องตรวจแมมโมแกรม ซึ่งเป็นการตรวจโดยใช้รังสีเอกซเรย์ภาพเต้านมออกมา เพื่อใช้ในการวินิจฉัยหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
ข้อได้เปรียบในการใช้ AI มาช่วยในขั้นตอนนี้คือ การอ่านและวิเคราะห์ภาพแมมโมแกรมเพื่อหาจุดผิดปกติในเต้านมที่รวดเร็ว
Dr. Larry Norton ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของศูนย์มะเร็งเต้านม Evelyn H. Lauder ในนิวยอร์กซิตี อธิบายว่า โดยปกติแล้วการอ่านภาพแมมโมแกรมจะต้องใช้รังสีแพทย์ในการอ่านและวินิจฉัย ซึ่งใช้เวลานานเพราะต้องตรวจสอบและวิเคราะห์อย่างละเอียดแม่นยำให้ได้มากที่สุด
แต่เมื่อมี AI ที่สามารถช่วยวิเคราะห์ภาพแมมโมแกรมและระบุจุดที่มีความเสี่ยงจะพัฒนาเป็นมะเร็งเต้านมได้ ก็จะทำให้รังสีแพทย์ตรวจภาพแมมโมแกรมได้มากขึ้นและยังคงแม่นยำ โดยที่ใช้เวลาเท่าเดิมหรือน้อยลง
นอกจากนี้ยังช่วยลดอัตราการตรวจพลาดจาก Human Error ของแพทย์ ดังนั้นแพทย์ก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งโอกาสในการรักษาให้หายก็มีสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
บริษัท Medo.ai พัฒนา AI ที่จะมาทำงานร่วมกับการอัลตราซาวนด์ เพื่อช่วยแพทย์วิเคราะห์ผลการตรวจ และทำให้สามารถวินิจฉัยได้เร็วขึ้น ซึ่งก็เป็น AI อีกหนึ่งตัวที่สามารถช่วยตรวจหาสัญญาณของโรคต่าง ๆ ได้ แพทย์ก็จะวินิจฉัยได้แม่นยำขึ้น รวมถึงสามารถให้การรักษาที่ดีที่สุดและตรงจุดแก่ผู้ป่วย
AI อ่านผลอัลตราซาวด์เคยถูกใช้ตรวจสอบภาวะโรคข้อสะโพกผิดปกติแต่กำเนิด (DDH) ในเด็กทารก ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดกับทารกแค่ 1 ใน 100 แต่ถ้าตรวจพบเร็วก็รักษาได้ง่าย โดยใช้สายรัดที่ช่วยให้สะโพกของทารกเติบโตได้อย่างถูกต้องตามสรีระ การอัลตราซาวด์จึงเป็นวิธีการตรวจสอบที่ดีที่สุด เพราะทั้งสามารถป้องกันและเตรียมการรักษาได้ตั้งแต่ทารกยังไม่เกิด
Dr. Matthew Hitchcock หมอจากรัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกาใช้ AI เป็นตัวช่วยในการทำงาน จากการรักษาทางไกลแบบ Telemedicine ผ่านสมาร์ตโฟน ซึ่ง AI จะช่วยบันทึกการตรวจ Telemedicine และนำมาสรุปให้เหลือเพียงข้อมูลสำคัญ เพื่อใช้ในการวางแผนการรักษา และประเมินราคาเพื่อเรียกเก็บเงิน
มันช่วยทั้งประหยัดเวลาในการเดินทางมาพบแพทย์สำหรับผู้ป่วย และประหยัดเวลาที่แพทย์จะใช้ในการพิมพ์บันทึกสรุปข้อมูลการรักษา ซึ่งปกติ Hitchcock ใช้เวลาในการพิมพ์บันทึกแต่ละครั้งประมาณ 2 ชั่วโมง และช่วยป้องกันข้อมูลตกหล่นได้อีกด้วย มันทำให้เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถใช้เวลาในการพูดคุยกับคนไข้ของเขาได้เต็มที่
ทั้งหมดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งแง่มุมของ AI ที่เราอาจจะยังมองข้ามไป ถ้าหากในอนาคตมีการพัฒนาความสามารถ AI ทางการแพทย์ไปได้ไกลกว่านี้ โรคร้ายที่รักษาไม่หาย ตรวจในระยะแรกไม่พบ อาจจะหมดไป คนในยุคที่ AI ฉลาดมากกว่านี้อาจจะมีอายุที่ยืนยาวขึ้นก็ได้
อ้างอิง: news.yahoo
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด