ในยุคที่ดิจิทัลขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทุกภาคธุรกิจล้วนได้รับอานิสงค์มากน้อยแตกต่างกันไป บางส่วนถึงขั้นพลิกวิธีการทำธุรกิจทั้งหมด บางส่วนได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น แม้แต่ภาคส่วนที่ดูเป็น Physical มากๆ อย่างภาคคมนาคมและขนส่งเอง ก็ได้รับอานิสงค์จากการพัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัลเช่นกัน
เราไม่อาจปฏิเสธความสำคัญของภาคคมนาคมและขนส่งที่มีต่อประเทศไทยได้ และยิ่งมองเห็นความสำคัญ ยิ่งต้องเปิดโอกาสให้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น โดยเฉพาะ Internet of Thing ที่ก้าวเข้ามามีบทบาทชัดเจนกับทุกอย่างที่เป็น Physical มากขึ้นเรื่อยๆ ในวันนี้ เราจึงอยากพาทุกท่านร่วมสำรวจโอกาสจากนวัตกรรมใหม่ของภาคธุรกิจคมนาคมและขนส่งไปพร้อมกัน
Internet of Things ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีผลต่อทุกส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่เริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยผลสำรวจการใข้จ่ายในเทคโนโลยี IoT ปี 2020 จาก Frost & Sullivan พบว่า มูลค่าการใช้จ่ายใน IoT กว่า 57 เปอร์เซ็นต์ มาจากภาคธุรกิจ และหากดูในรายอุตสาหกรรม จะพบว่าภาคคมนาคมและขนส่งลงทุนในเทคโนโลยีนี้รวมกันมากที่สุดเป็นสัดส่วน 29 เปอร์เซ็นต์
สาเหตุที่ภาคธุรกิจลงทุนใน Internet of Things ชัดเจนขึ้น มาจากประสิทธิภาพหลักเรื่องการลดค่าใช้จ่ายที่เห็นผลจริง โดย Gartner ระบุว่า โครงการ IoT ขององค์กรธุรกิจที่มุ่งเน้นเรื่องการลดต้ทุนค่าพลังงานและแรงงาน สามารถสร้างความคุ้มค่าเป็นตัวเงินได้อย่างชัดเจนและใช้เวลาคืนในระยะเวลาอันสั้นเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ
เมื่อมีกรณีศึกษาที่ชัดเจนเช่นนี้ การนำ IoT มาใช้ในภาคคมนาคมและขนส่งของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว และเมื่อผสานกับการพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายที่กำลังจะก้าวสู่ยุค 5G ย่อมเพิ่มโอกาสให้องค์กรที่ใช้งาน IoT ได้ประโยชน์เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากบทบาทของผู้นำด้าน 5G และ Fiber Optics แล้ว IoT ยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ AIS พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจที่ AIS Business เตรียม Solution ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันของธุรกิจได้อย่างครอบคลุม รวมถึงบริการ Smart Vehicle Management ที่ออกแบบมาเพื่อการกำกับดูแลยานพาหนะ โดยอาศัยเทคโนโลยี Internet of Things คอยส่งข้อมูลต่างๆ ของรถไปให้ผู้ดูแลในสำนักงาน Solution นี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจเห็นข้อมูลการใช้งานรถอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ช่วยให้การจัดการและวางแผนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วย โดยปัจจุบัน AIS ให้บริการ Smart Vehicle Management กับผู้ใช้ 2 กลุ่ม ได้แก่
ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้ธุรกิจต้องเดินหน้าใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความแตกต่างในการแข่งขัน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย ที่มักพบข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายใหญ่
AIS Business เล็งเห็นโอกาสที่จะช่วยพัฒนาผู้ประกอบการด้านคมนาคและขนส่งรายย่อยในประเทศไทย ด้วยการเสนอบริการ Telematics for Business ต่อยอดอุปกรณ์ V2X ด้วยการเพิ่ม Solution สำหรับลูกค้าธุรกิจโดยเฉพาะ อาทิ ผู้ประกอบการรายย่อยทั้งผู้ให้บริการขนส่งสินค้า ธุรกิจที่ต้องส่งสินค้าเอง หรือแม้แต่ผู้ประกอบการรถเช่ารายย่อย ได้เข้าถึงนวัตกรรมการจัดการรถยนต์ด้วยฟังก์ชันแบบเดียวกับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ในราคาที่คุ้มทุนสำหรับ SME
Car Telematics for Business เกิดจากความร่วมมือของ AIS และ V2X ผู้พัฒนา Solution ด้าน Car Telematics ของไทย โดยมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบการได้ใช้นวัตกรรมด้าน IoT และ Big Data ระดับ Enterprise โดยมี 5 คุณสมบัติหลัก ดังนี้
1. อุปกรณ์ติดตั้งง่าย ทำได้ด้วยตัวเอง สำหรับธุรกิจแล้ว เวลาเองก็เป็นต้นทุนที่ธุรกิจต้องคำนึงถึง ดังนั้น หากอุปกรณ์ติดตั้งยาก ต้องใช้คนดำเนินการเยอะย่อมถือเป็นการเพิ่มต้นทุนเป็นแน่ แต่สำหรับ V2X ผู้ใช้สามารถติดตั้งได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย โดยตัวอุปกรณ์จะเชื่อมต่อกับรถผ่านช่อง OBD II ซึ่งเป็น Port มาตรฐานบนรถยนต์ปัจจุบัน อุปกรณ์ยังมาพร้อม Nano Sim รองรับการใช้งาน AIS 4G โดยเมื่อต่ออุปกรณ์เข้ากับรถแล้วก็จะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ
2. แสดงข้อมูลเชิงลึกครบถ้วนเพื่อการตัดสินใจที่เฉียบคม นอกจากอุปกรณ์ V2X-2 ต่อเข้ากับช่อง OBD II จะสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของรถได้อย่างครบถ้วนแล้ว ตัวอุปกรณ์ยังมี Sensor ต่างๆ ที่ช่วยให้ส่งข้อมูลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตามตำแหน่งที่แม่นยำ ข้อมูลการขับขี่อย่างละเอียด ตั้งแต่ระยะทางและเวลาที่ใช้รถ ปริมาณน้ำมันที่ใช้ ความเร็วของรถในแต่ละช่วง พฤติกรรมการเร่งออกตัวหรือการเบรก ไปจนถึงสภาพการทำงานในแต่ละส่วนของรถยนต์ ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนการขับขี่ การบำรุงรักษา หรือกำกับดูแลการใช้รถอย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
3. ทำงานผ่าน Cloud ใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์และ Smartphone นอกจากการเชื่อมต่อที่ง่ายแล้ว ส่วนแสดงผลยังออกแบบให้รองรับการทำงานของธุรกิจอย่างเต็มที่ โดย V2X ได้พัฒนา Dashboard แบบ Cloud-base เต็มรูปแบบ โดยสามารถใช้งานได้ทั้งบน Website และ Application Smartphone ซึ่งบน Website จะมี Feature เพิ่มเติมที่รองรับการใช้งานสำหรับภาคธุรกิจโดยเฉพาะ เช่น การรายงานของรถทุกคันในระบบ การดูข้อมูลย้อนหลัง รวมถึงรองรับการ Export file data ในรูปแบบของ Excel ซึ่งรองรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
4. จัดการความปลอดภัยให้กับรถของบริษัทอย่างง่ายดาย นอกจากการนำเสนอข้อมูลที่ครบทุกมิติแล้ว ตัว V2X-2 บน Car Telematics for Business ยังมี Feature ด้านความปลอดภัยมาให้มากมาย ทั้ง Shock detection sensor ที่ตรวจจับการสั่นสะเทือนที่ผิดปกติอันเกิดจากอุบัติเหตุหรือการโจรกรรม และการตั้ง Geo Fence หรือรั้วแนวเขตบนแผนที่ดิจิทัล ซึ่งจะแจ้งเตือนทันทีเมื่อรถข้ามเส้นเขตแดนนั้น ช่วยป้องกันและยับยั้งเหตุไม่พึงประสงค์ได้ทันท่วงที
5. ค่าบริการเป็นมิตรกับธุรกิจ SME ไทย จาก Feature ทั้งหมดนี้ หลายคนอาจคิดว่าต้องติดตั้งด้วยราคาที่สูง แต่จริงๆ แล้ว ผู้ประกอบการรายย่อยก็สามารถใช้งาน Feature ทั้งหมดนี้ได้ โดย AIS Business คิดค่าบริการเพียง 200 บาท/เดือน/คัน เท่านั้น โดยไม่ต้องจ่ายค่าอุปกรณ์เพิ่มเติมเมื่อใช้บริการครบตามระยะที่กำหนด ไม่มีขั้นต่ำและเพดานจำนวนรถที่ให้บริการ นอกจากนี้ หากองค์กรยังมีความต้องการเฉพาะ ก็สามารถพูดคุยกับ AIS เพื่อพัฒนา Solution ร่วมกันได้
สำหรับองค์กรธุรกิจที่ต้องการใช้ Car Telematics for Business หรือสนใจ Business Solution ด้าน IoT อื่นๆ ของ AIS สามารถขอข้อมูลโดยตรงจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ดูแลองค์กรของท่าน หรือโทร 1149 และอีเมล [email protected] รวมทั้งติดตามได้ที่ https://business.ais.co.th
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด