โลกกำลังหมุนไปสู่ยุคแห่งพลังงานไฟฟ้า รถเครื่องยนต์สันดาปกำลังถูกแทนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่เงียบสงบ และหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ ‘แบตเตอรี่’
หนึ่งในบริษัทที่กำลังกำหนดทิศทางของยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก คือ ‘CATL’ บริษัทจีนที่อาจไม่คุ้นหูใครหลายคน แต่หากกล่าวถึงชื่อลูกค้าของพวกเขา ทุกคนย่อมรู้จัก Tesla, BMW, Kia, Volkswagen และ Ford ยักษ์ใหญ่เหล่านี้ต่างต้องพึ่งพาแบตเตอรี่จาก CATL ทั้งนั้น
และนี่คือเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ของ CATL จากจุดเริ่มต้นอันไม่คาดฝัน สู่การเป็นราชาแห่งแบตเตอรี่ พร้อมเจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จ และอนาคตของบริษัท ที่อาจกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าไปอีกยาวนาน
Zeng Yuqun ผู้ก่อตั้ง CATL
CATL (Contemporary Amperex Technology Co., Limited) ก่อตั้งขึ้นในเมืองหนิงเต๋อ ประเทศจีน เมื่อปี 2011 บริษัทเริ่มต้นจากการแยกตัวออกมาจาก Amperex Technology Limited หรือ ATL ซึ่ง ‘Zeng Yuqun’ หรืออีกชื่อคือ ‘Robin Zeng’ ผู้บริหาร CATL คนปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง
ATL มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมโพลิเมอร์สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับพกพา เช่น เครื่องเล่น MP3, กล้องวิดีโอ ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือ โดยมีลูกค้าเจ้าใหญ่ๆ อย่าง Apple, Huawei และ Samsung ไว้วางใจ แม้จะประสบความสำเร็จในตลาดแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ในตอนนั้น Zeng ยังไม่ได้มองเห็นโอกาสในตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV)
Herbert Diess ผู้พา CATL สู่ตลาดแบตเตอรี่ EV
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2010 เมื่อ Herbert Diess ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของ BMW (ปัจจุบันเป็นประธานกลุ่ม Volkswagen Group) เดินทางไปทั่วโลกเพื่อขอร้องให้บริษัทผลิตแบตเตอรี่มือถือหันมาทำแบตเตอรี่สำหรับรถ EV เขาได้คุยกับบริษัทชั้นนำหลายแห่ง รวมถึง Bosch จากเยอรมนี และโชคชะตาก็นำพาให้ Diess มีโอกาสได้พบกับ Zeng ที่กำลังบริหารบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นอย่าง TDK
เมื่อ Diess นำเสนอแนวคิดการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถ EV กลับถูก Zeng ปฏิเสธทันควันในตอนแรก โดยบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างแบตเตอรี่ใหญ่ขนาดนั้นได้ แต่ Diess ก็ไม่ละความพยายาม จนในที่สุด Zeng ก็เปลี่ยนใจ และตัดสินใจนำกลุ่มนักลงทุนจีนเข้ามาถือหุ้นในธุรกิจด้านแบตเตอรี่ EV ของ TDK กว่า 85% และก่อตั้งบริษัท CATL โดยมี BMW เป็นลูกค้ารายใหญ่รายแรก
บทสนทนาระหว่าง Zeng และ Diess ในวันนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ CATL ในฐานะผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV รายใหญ่ที่สุดของโลกในวันนี้ และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ของ Diess ที่มองเห็นศักยภาพของ Zeng ตั้งแต่เริ่มแรก
Diess พาบริษัทของเราเข้าสู่ธุรกิจแบตเตอรี่รถยนต์ ผมรู้สึกขอบคุณเขาสำหรับเรื่องนั้น - Zeng กล่าวในภายหลัง
อะไรที่ทำให้ CATL ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ ? หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ ‘ความมุ่งมั่น' ของ Zeng ในการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่
ตัวอย่างที่แสดงเห็นได้ชัดเกิดขึ้นช่วงปี 2000 เมื่อ Zeng ซื้อสิทธิบัตรสำหรับแบตเตอรี่มือถือจากสหรัฐฯ หลายฉบับ แต่แทนที่จะใช้สิทธิบัตรเหล่านั้นเพื่อผลิตแบตเตอรี่ เขากลับเลือกที่จะศึกษา ปรับปรุง และออกแบบแบตเตอรี่ด้วยตัวเอง
แม้กระทั่งการทำงานร่วมกับลูกค้ารายแรกอย่าง BMW เขาก็อ่านรายละเอียดข้อกำหนดกว่า 800 หน้าด้วยตัวเอง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Zeng ที่ต้องการเข้าใจและพัฒนาเทคโนโลยี
ตอนที่ CATL เริ่มพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ BYD เป็นผู้นำในตลาดนี้ด้วยการผลิตแบตเตอรี่แบบ LFP แต่ CATL กลับมองเห็นศักยภาพของแบตเตอรี่แบบ ‘NMC’ (นิกเกิล แมงกานีส และโคบอลต์) ซึ่งมีข้อดีในเรื่องของระยะทางที่วิ่งได้ไกลกว่า
10 อุตสาหกรรมไฮเทคที่ Made in China 2025 ให้การสนับสนุน
Credit : Asia Briefing / China Briefing
นอกจากความมุ่งมั่นของ Zeng แล้ว CATL ยังได้รับแรงหนุนสำคัญจากนโยบาย ‘Made in China 2025’ ของรัฐบาลจีน ที่มุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทค และส่งเสริมผู้ผลิตในประเทศ
รถยนต์ไฟฟ้า และยานพาหนะพลังงานใหม่ เป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมหลักที่ Made in China 2025 มุ่งเน้น รัฐบาลจีนจัดสรรเงินทุนมหาศาลเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล่านี้ ทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา และสนับสนุนให้แบรนด์ EV จีนใช้แบตเตอรี่ภายในประเทศ เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินอุดหนุน ทำให้ต่างชาติเข้ามาทำตลาด EV ในจีนได้ยาก
‘โคบอลต์’ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับแบตเตอรี่ NMC ก็เป็นหนึ่งในทรัพยากรที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ CATL จึงลงทุนในเหมืองแร่ ทั้งในจีน และอินโดนีเซีย และเข้าซื้อเหมืองโคบอลต์ในคองโก ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตแร่โคบอลต์ที่ใหญ่สุดในโลก
นอกจากนี้ CATL ยังลงทุนในกระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ เพื่อใช้ทุกทรัพยากรที่หาได้อย่างคุ้มค่า CATL มีบริษัทในเครือที่ชื่อว่า Brunp Recycling ซึ่งมีเทคโนโลยีที่สามารถกู้คืนแร่นิกเกิล โคบอลต์ แมงกานีส จากแบตเตอรี่ของเสีย รวมถึงแบตเตอรี่ยานยนต์ที่เลิกใช้แล้ว ได้มากถึง 99.6%
กลยุทธ์เหล่านี้ รวมถึงการขยายฐานการผลิตอย่างรวดเร็ว ทำให้ CATL สามารถควบคุม Supply Chain และผลิตแบตเตอรี่คุณภาพสูงในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญที่จะทำให้บริษัทแข็งแกร่งพอที่แข่งขันในระดับโลก
หมุดหมายแรกที่ CATL เลือกตั้งโรงงานนอกประเทศบ้านเกิดคือ ‘เยอรมนี’ เพื่อเป็นใบเบิกทางสู่ตลาดยุโรปที่กำลังเติบโต
เมื่อปี 2019 บริษัทเดินเครื่องโปรเจกต์ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างโรงงาน Gigafactory ที่บริเวณชานเมือง Arnstadt ถือเป็น Gigafactory ผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่แห่งแรกของเยอรมนี มีกำลังการผลิตมหาศาล เพียงพอต่อความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้าหลายแสนคันต่อปี
CATL ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ในปี 2022 ได้ประกาศสร้างโรงงานแบตเตอรี่ระดับ Gigafactory ในประเทศฮังการี ด้วยเงินทุนมูลค่ามหาศาลกว่า 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โรงงานแห่งนี้จะรับหน้าที่จัดหาเซลล์ และโมดูลแบตเตอรี่ให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป รวมถึงลูกค้าอย่าง BMW, Mercedes-Benz และ Volkswagen
นอกจากยุโรปแล้ว CATL ยังบุกอาเซียน รวมถึงประเทศไทย โดยในไทยมีพาร์ทเนอร์เป็น Arun Plus บริษัทที่มี ปตท. จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 100% เพื่อร่วมตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบ Cell-To-Pack (CTP) สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า
ส่วนแบ่งตลาดโลกผู้ผลิตแบตเตอรี่ช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2024
การลงทุนทั้งหมดของ CATL ได้ผลตามคาด ปัจจุบันบริษัทได้กลายเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก ด้วยส่วนแบ่งการตลาดโลกกว่า 37.7% แซงหน้าคู่แข่งคนสำคัญอย่าง BYD หนึ่งเท่าตัว โดยมีลูกค้าหลัก คือ Tesla, BMW, Mercedes-Benz และ Volkswagen
นอกจากความสำเร็จในการผลิตแบตเตอรี่ NMC แล้ว CATL ยังพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง เช่น
CATL สะท้อนให้เห็นถึงการผงาดขึ้นของจีนในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี รวมถึงบทบาทสำคัญของจีนในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด อย่างไรก็ตาม การครองบัลลังก์ของ CATL ยังคงต้องจับตามองท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากบริษัทแบตเตอรี่รายอื่นๆ
อนาคตของ CATL จะเป็นอย่างไร ? บริษัทจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ได้หรือไม่ ? คงต้องติดตามกันต่อไป
อ้างอิง : CATL, TIME, The Guardian, WIRED, Council on foreign relations, The New York Times
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด