อนาคตของเทคโนโลยีปลูกถ่ายประสาทเทียม หรือมนุษย์อาจใช้พลังจิตได้จริง ? | Techsauce

อนาคตของเทคโนโลยีปลูกถ่ายประสาทเทียม หรือมนุษย์อาจใช้พลังจิตได้จริง ?

ถ้าคุณมีพลังจิต สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยความคิด สั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว รับสาย ตอบแชท หรือพิมพ์งานได้เพียงใจคิด โลกเราวันนั้นจะเป็นยังไง … เรากำลังพูดถึงอนาคตของ “เทคโนโลยีประสาทเทียม”

รู้จักเทคโนโลยีปลูกถ่ายประสาทเทียม 

การปลูกถ่ายประสาทเทียม (Brain implant หรือ Neural implant) ขึ้นชื่อว่าเทียมก็บอกอยู่ว่ามันไม่ใช่อวัยวะของจริง เพราะมันคืออุปกรณ์ที่ถูกใส่เข้าไปในร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าจะด้วยการฉีด การผ่าตัด และอีกหลากหลายวิธี โดยจะเข้าไปทำงานร่วมกันกับเซลล์ประสาทของเรา

ด้วยเทคโนโลยีปลูกถ่ายประสาทเทียม นักวิทยาศาสตร์หรือแพทย์สามารถแฮ็กเข้าไปในระบบประสาทของมนุษย์ได้ กระบวนการนี้เรียกว่า Neuromodulation ซึ่งหมายถึงการใช้ยาหรือเครื่องมือทางการแพทย์ส่งกระแสไฟฟ้าเข้าไปในสมอง เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือปรับการทำงานของเส้นประสาท

ปัจจุบันเทคโนโลยีประสาทเทียมทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมคือ เครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึกด้วยไฟฟ้า หรือ Deep brain stimulation (DBS) เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบประสาทและสมอง เช่น โรคลมชัก พาร์กินสัน โรคกล้ามเนื้อเกร็ง ไมเกรน โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรค (Stroke) หรือโรคทางจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้า เป็นต้น

หญิงป่วยอัมพาตกลับมาพูดได้อีกครั้งในรอบ 18 ปี 

แอน จอห์นสัน พึ่งจะอายุได้ 30 ในปี 2005 เธอป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบจนเป็นอัมพาตรุนแรงและไม่สามารถพูดได้ อย่างมากก็ทำได้เพียงส่งเสียง โอ้ หรือ อ้า ไม่สามารถสื่อสารเป็นคำหรือประโยค

18 ปีต่อมา ด้วยเทคโนโลยีการปลูกถ่ายประสาทเทียม ร่วมกันกับการใช้ Brain-computer Interface (เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์) หรือ BCI เธอสามารถสื่อสารได้แล้วผ่านดิจิทัลอวาตาร์


ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียฝังประสาทเทียมบนพื้นผิวสมองของจอห์นสัน ในบริเวณที่ทำงานเกี่ยวกับคำพูดและภาษา จอห์นสันได้รับการผ่าตัดใส่ขั้วไฟฟ้า 253 ชิ้น ขั้วไฟฟ้าจำนวนมากนี้ทำหน้าที่ดักจับสัญญาณไฟฟ้าจากสมอง และมีพอร์ตที่เชื่อมต่อไว้กับสายเคเบิลติดที่ติดบนศรีษะของเธอทำหน้าที่ส่งสัญญาณสมองไปยังคอมพิวเตอร์ที่เก็บข้อมูล

จากนั้น จะใช้เทคโนโลยี AI Algorithm แปลสัญญาณไฟฟ้าสมองเป็นประโยค ช่วยเกลาคำให้ถูกต้อง และแสดงผลผ่านดิจิทัลอวาตาร์ นักวิจัยยังใช้ AI เลียนเสียงของจอห์นสันที่เคยพูดในงานแต่งงานของเธอ เพื่อให้อวาตาร์พูดออกมาเสียงเหมือนกันมากที่สุด ระบบยังสามารถแปลสัญญาณจากสมอง ให้ตัวอวาตาร์แสดงออกทางสีหน้าได้ด้วย

ข้อจำกัดของเทคโนโลยีนี้คือมันยังถอดรหัสคำพูดได้ไม่แม่นยำนัก โดยมีอัตราข้อผิดพลาด 23% ถึง 24% นอกจากนั้นมันยังไม่พร้อมใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยจำนวนอุปกรณ์มากมายที่มีขนาดใหญ่ ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก

นอกจากนั้นยังถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นส่วนตัว เพราะทุกสิ่งที่เราคิด จะถูกถ่ายทอดออกมา ทั้งยังเรื่องความเสี่ยงของการติดตั้งอุปกรณ์ในสมอง ที่อาจทำให้เกิดอาการชัก เลือดออก การติดเชื้อได้ 

จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว 

เกิร์ต-ยาน ออสคัม ชายชาวดัตช์วัย 40 ปี ต้องเป็นอัมพาตหลังประสบอุบัติเหตุทางจักรยาน แต่วันนี้เขาสามารถเดินได้ ด้วยการปลูกถ่ายสมองอิเล็กทรอนิกส์

การทดลองนี้นำโดยนักวิจัและศัลยแพทย์ระบบประสาทชาวสวิส ศาสตราจารย์โจเซลีน โบลช จากมหาวิทยาลัยโลซาน โดยใช้วิธีสอดอุปกรณ์ประสาทเทียมเข้าไปในบริเวณสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของออสคัม ซึ่งจะส่งสัญญาณคลื่นสมองไปยังเซ็นเซอร์สองตัวที่ติดอยู่กับหมวกกันน็อคบนศีรษะของเขา

อัลกอริธึมจะรับหน้าที่แปลคลื่นสมองเหล่านั้นเป็นคำสั่งในการขยับกล้ามเนื้อขาและเท้า ผ่านการใช้อุปกรณ์เทียมอีกชิ้นที่สอดไว้ตรงกระดูกสันหลัง บริเวณปลายประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเดิน 


“ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กหัดเดิน กำลังเรียนรู้ที่จะเดินอีกครั้ง” “มันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน แต่ตอนนี้ผมสามารถยืนขึ้นและดื่มเบียร์กับเพื่อนได้ เป็นความสุขที่หลายคนคงคาดไม่ถึง” ออสคัมกล่าวกับ BBC

การใช้ระบบประสาทเทียมช่วยฝึกเดิน ยังช่วยให้ร่างกายพัฒนากล้ามเนื้อละฟื้นระดับการเคลื่อนไหวแม้จะปิดเครื่องไปแล้ว บ่งชี้ว่าร่างกายอาจกำลังสร้างเส้นประสาทที่เสียหายขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะเป็นการฟื้นฟูที่สมบูรณ์แบบ

การทดลองนี้ยังอยู่ในเฉพาะห้องแล็บเท่านั้น แต่ทีมงานหวังว่าจะนำมันออกมาใช้ภายนอกให้ได้เร็วที่สุด

โลกในจิตนาการอาจอยู่แค่เอื้อม 

ในปี 2044 เมื่อโลกมนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกเสมือนจึงเป็นโอเอซิสแห่งใหม่ของผู้คน ภาพยนตร์เรื่อง Ready Player One ที่ออกฉายในปี 2018 ได้ถ่ายทอดให้เราเห็นความเป็นไปได้ในอนาคตกับเทคโนโลยี VR และโลกเสมือนจริง และวันนี้ดูใกล้ความจริงเข้าไปอีกก้าว

AttentivU ดูแล้วเหมือนแว่นตาทั่วไป แต่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับการทำงานของสมอง (คลื่นสมองไฟฟ้า - EEG) และการเคลื่อนไหวของดวงตา (คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อลูกตา - EOG) ที่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจ กระบวนการเรียนรู้ ภาวะการรับรู้ ความเหนื่อยล้า การมีส่วนร่วม และระดับความสนใจ พูดง่ายๆ ก็คือมันสามารถรู้ได้ว่าสมองเรากำลังคิดอะไร เหนื่อยไหม สนใจอะไรอยู่


ในวิดีโอทดสอบ AttentivU หญิงคนหนึ่งกำลังขับรถด้วยสภาพเหนื่อยล้า ง่วงนอน เธอสวมแว่นนี้ไว้ เมื่อเธอง่วง และไม่สามารถให้ความสนใจกับท้องถนน แว่นตาจะรับรู้และส่งเสียงเตือน รวมถึงส่งสัญญาณให้เข็มกลัดที่หน้าอกเธอสั่นเพื่อเรียกสติของเธอกลับมา

และเมื่อไม่นานมานี้ แว่น AttentivU ได้ถูกใช้ทดสอบกับนักบินอวกาศจาก NASA เพื่อติดตามข้อมูลและแนะนำวิธีที่นักบินอวกาศจะสามารถมีภาวะทางสรีรวิทยาและจิตใจที่เหมาะสมและพร้อมสำหรับการทำงาน

เพราะการทำงานบนอวกาศเต็มไปด้วยความเครียด ต้องอยู่ในที่แคบๆ เวลานาน ห่างจากครอบครัว แบกรับภารกิจที่กดดัน

ทีมนักวิจัยที่นำโดยนักวิจัยจากโรงพยาบาล Massachusetts General Hospita ร่วมมือกับนักวิจัยจากกลุ่ม Fluid Interfaces (MIT) Media Lab นักวิทยาศาสตร์การวิจัย Nataliya Kosmyna และศาสตราจารย์ Pattie Maes โดยใช้แว่น AttentivU ในการติดตามข้อมูลสุขภาพกายและใจแบบเรียลไทม์

AttentivU ยังถูกใช้ทดสอบสั่งการหุ่นยนต์น้องหมาจาก Boston Dynamics โดยจากวิดีโอสาธิตเราจะเห็นว่าหุ่นยนต์สามารถรับคำสั่งจากผู้สวมใส่แว่นตานี้ ใช้เพียงแค่ความคิดจากสมองเท่านั้น

 

โอกาสของธุรกิจในเทคโนโลยีนี้ 

ปัจจุบันมูลค่าตลาดเทคโนโลยีปลูกถ่ายประสาทเทียมอยู่ที่ 1.4 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4.9 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะสูงถึง 4.5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ภายในปี 2032

ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดนี้คงหนีไม่พ้นวงการแพทย์ ด้วยประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของสมอง เช่น ลมชัก พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ หรือแม้แต่โรคซึมเศร้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน 

ในฝั่งของผู้ผลิต ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมกำลังลงทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนา และเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยกว่าเดิม และพยายามทำให้เข้าถึงง่ายมากขึ้น ยิ่งช่วยขยายฐานผู้บริโภค

อเมริกายังคงเป็นผู้นำในตลาดนี้ ด้วยส่วนแบ่งรายได้มากที่สุดที่ 42.9% ในปี 2020 โดยนอกจากความต้องการที่มากขึ้นของผู้บริโภคแล้ว ความพร้อมของเทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานสาธารณสุขที่มีแพทย์ผู้ชำนาญและมีสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐด้านเงินทุน ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโต

อย่างไรก็ตาม คาดว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะกลายเป็นผู้นำตลาดในอนาคต เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ความสามารถในการจ่ายที่เพิ่มขึ้น และการตระหนักรู้เรื่องการรักษาด้วยวิธีนี้ที่เพิ่มขึ้น 

อ้างอิง : spectrum.ieee , MIT (1) , MIT (2) , BBC , Grandview Research , Allied Market Research

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ท่องเที่ยวไทยมีดี แต่ SME ยังไม่พร้อม ?

ธุรกิจท่องเที่ยวจะปรับตัวยังไง เมื่อเจอความท้าทายรุมล้อม ไม่ว่าจะเป็นการปรับใช้เทคโนโลยีในธุรกิจ การรับมือธุรกิจจีนที่เข้ามารุกตลาด และการสร้างบริการท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์นักเดินทาง...

Responsive image

อินโดนีเซีย เปิดรับเทคโนโลยีอย่างไร เพื่อสร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ ถอดบทเรียนจากงาน Bali International Airshow

อินโดนีเซีย กลายเป็นประเทศเนื้อหอมที่บิ๊กเทคฯ ต่างประเทศแห่เข้าไปลงทุนมากมาย ซึ่งหากนับแค่ช่วงครึ่งแรกของปี 2023 เพียงปีเดียวอินโดนีเซียสามารถสร้างมูลค่าถึง 34,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ...

Responsive image

รู้จัก “Phygital” การตลาดยุคใหม่แห่งอนาคต ผ่านเทคโนโลยี Immersive Experience ของ Translucia

Techsauce จึงอยากพาไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยี ‘โลกเสมือน’ ผ่านหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญอย่าง Translucia บริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนา Immersive Experience ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะเปลี่ยนวิธีการเ...