แม้ทีมงานจะมีโอกาสได้ไป Silicon Valley และซานฟรานฯ อยู่หลายครั้ง แต่ครั้งนี้ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกตัวว่าหยุดนิ่งไม่ได้ และต้องตื่นตัวตลอดเวลาจริงๆ โลกเราแต่ละเดือนแต่ละปีในสายเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยเฉพาะซีกโลกตะวันตก ยิ่งทำให้ฉุกคิดและมองย้อนกลับมาที่บ้านเราว่าจะทำอย่างไรให้คนในบ้านเราตื่นตัว, ยอมรับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังถาโถมและเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจหลักของพวกเขาในระยะอันใกล้นี้...
โดยครั้งนี้ทีมงาน techsauce มีโอกาสได้ร่วมทริปไปกับ Thai corporate delegation หลายบริษัท ซึ่งจัดงานและนำทีมโดยบริษัทอนันดา และมีบริษัท Digital Ventures, ปตท, ธนาคารออมสิน, บริษัทวีนัสเทคโนโลยี, Loxbit, MoneyTable เป็นต้น เข้าร่วมกลุ่ม
การเดินทางในครั้งนี้เรามีโอกาสได้เยี่ยมชมบริษัทยักษ์ใหญ่จากเยอรมันที่มีออฟฟิสที่ Silicon Valley อย่าง SAP ใช่แล้ว SAP เดียวกับที่เรารู้จักว่าเป็น ERP ชื่อดัง หลายคนที่ทำงานในวงการไอทีมาเกิน 10 ปี รู้จักผู้เล่นรายนี้เป็นอย่างดี ภาพลักษณ์ของ SAP ในแถบเอเชียกับที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าแตกต่างกันมาก เมื่อได้มาฟังจากคำบอกเล่าของพนักงานที่นี่ว่า ทุกครั้งที่ออกแบบโซลูชั่นต่างๆ ในองค์กรจะพูดคุยกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดและนำแนวคิดของ Design Thinking มาใช้ชนิดที่มีป้ายเป็นคำขวัญว่า "Design Thinking was always a the heart of SAP's success"
มีการหยิบยกแแอปฯ และหลายๆ บริการที่ SAP อยู่เบื้องหลังทั้งวงการแฟชั่น และกีฬา แถมยังได้รับรางวัลด้านการออกแบบมาแล้วจากสถาบันโลกอย่าง reddot ในหมวด User Experience Design ในใจแอบคิดเล็กๆ ว่ามันเจ๋งมาก แต่ทำไมน่าเสียดายที่ไม่ได้ถูกถ่ายทอดภาพลักษณ์เหล่านี้มาที่แถบบ้านเรานะ จะทำให้ SAP แบรนด์ไอทีแห่งนี้จะดูเซ็กซี่ขึ้นอีกมากเลยทีเดียว
ในฟากของอีกองค์กรที่เด่นด้าน Customer Relationship Management (CRM) อย่าง Salesforce ที่กำลังขยายอาณาจักรใหญ่ถึง 3 ตึกกลางกรุงซานฟรานฯ ก็ให้ความสำคัญกับการออกแบบเป็นอย่างมาก และลงไปถึงการออกแบบสภาพแวดล้อมของการทำงาน เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สามารถก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ได้
มีการพูดถึงองค์กรต่างๆ ยักษ์ใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง design อย่างจริงจังและเห็นเป็นเทรนด์อย่างชัดเจนที่มีการเข้าซื้อกิจการบริษัทที่เก่งด้านออกแบบโดยตรง
(ผู้บรรยายคือ Brice Challamel Innovation Management Expert, Program Manager แห่ง Google)
สำหรับ Google แล้วแม้จะเป็นองค์กรขนาดใหญ่แต่ยังคงขับเคลื่อนบริษัทให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เฉกเช่นเดียวกับ Startup เขาทำได้อย่างไร สิ่งที่ Google ถ่ายทอดให้กับพนักงานในองค์กรคือ
และเปรียบเทียบว่าการ Fail Fast นั้น และเรียนรู้ลูปนี้ให้ไวนำมาแก้ไขย่อมสำเร็จกว่า การค่อยๆ ทำ
Singularity University เป็นสถาบันที่ให้ความรู้และ business incubator ในตัวที่ Silicon Valley โดยโฟกัสที่เทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบ Exponential สถาบันแห่งนี้ก่อตั้งโดย Peter Diamandisand และ Ray Kurzweil แห่ง NASA Research Park โดยทุกปีจะมีการจัด SU Global Summit ถ่ายทอดเรื่องราวเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกภาคอุตสหกรรมในอีก 10 ปีข้างหน้าและส่งผลต่อความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ และองค์กรต่างๆ ควรรับมืออย่างไร
หนึ่งในช่วงที่หลายคนให้ความสนใจคือ Organizations and the next economy ซึ่งเป็นการสนทนาร่วมกันของ Clayton Christensen ซึ่งเป็นศาสตราจารย์แห่ง Harvard University และแต่งหนังสือชื่อดังและเป็นแม่แบบให้กับหลายองค์กรทั่วโลกมากมายอย่าง The innovator's dilemma และ The innovator's DNA เป็นต้น ในการสนทนาครั้งนี้มี John Hagel ประธานบริหารร่วมของ Center for the Edge of Deloitte & Touche แและ Carin Watson SVP, Learning and Innovation of Singularity University เป็นผู้ดำเนินการเสวนาด้วย
Carin เริ่มเปิดประเด็นด้วยคำถามที่ว่าองค์กรขนาดใหญ่ที่ก่อตั้งขึ้นมานานแล้วนั้นจะสามารถเอาตัวรอดและหาหนทางใหม่ในการเติบโตในยุคของการถูก disrupt โดยเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้อย่างไร? เมื่อสภาพแวดล้อมในปัจจุบันนั้นเอื้อให้กับปัจเจคบุคคล startups และผู้ประกอบการต่าง ๆ มากกว่า ศาสตราจารย์ Christensen ให้ความเห็นว่า องค์กรต้องค้นหาให้แน่ใจว่าตลาดเฉพาะกลุ่มมีอยู่ที่ใดบ้าง พวกเขาต้องมองหาสิ่งที่ผู้คนกำลังทำอยู่และสร้าง solution ไม่ว่าจะซับซ้อนหรือมีราคาสูงก็ตาม เพราะ solution เหล่านี้มีเพียงผู้ที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงและมีเงินทุนเท่านั้นที่จะทำได้
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่ลูกค้านัก ดังนั้นองค์กรจึงต้องแสวงหาวิธีเพื่อให้ได้ตลาดที่ยังไม่มีใครเข้าถึง นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นว่าองค์กรในคำจำกัดความของพวกเขานั้นต้องมีนวัตกรรมและต้องปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีอยู่เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ เขาเรียกแนวคิดนี้ว่านวัตกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งนวัตกรรมที่ยั่งยืนนั้นกล่าวได้ว่าเป็นฟันเฟืองในการแทนที่หรืออัพเกรดเทคโนโลยีต่าง ๆ ของบริษัท รวมไปถึงผลกำไรที่จะบอกได้ว่าบริษัทกำลังมาถูกทางหรือไม่
จากนั้น Carin ได้ถามและให้ John อธิบายเกี่ยวกับแนวคิดของการยกระดับการเติบโต เขาอธิบายว่าบริษัทต่างก็ถูกกดดันให้ต้องเติบโตเพราะเหล่านักลงทุนไม่พอใจกับเพียงแค่ผลกำไรอีกต่อไปแต่มุ่งเน้นไปที่การเติบโตมากกว่า จุดอ่อนสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ก็คือพวกเขามองหาเพียงสองวิถีทางในการเติบโตว่า จะสร้างมันขึ้นมาเองหรือซื้อเข้ามา และจุดที่น่าสนใจนั้นอยู่ที่ประเด็นเรื่องความสมดุล ว่าพวกเขาจ่ายไปเท่าไรกับการเติบโตแบบออร์แกนิคกับสิ่งที่พวกเขาซื้อเข้ามาเพื่อสร้างความเติบโต ซึ่งคำถามสองข้อนี้ทำให้หนทางที่สามในการเติบโตได้ถูกมองข้ามไป
นั่นคือการยกระดับการเติบโตไปอีกขั้น (Leveraged Growth) เป็นการตั้งคำถามว่าบริษัทจะสร้างมูลค่าและส่งมอบมูลค่านั้นให้กับตลาดโดยผ่านความสามารถของบุคคลที่สามเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าและบริษัทได้อย่างไร วิธีการเติบโตเช่นนี้จะช่วยลดขนาดของการลงทุนสำหรับองค์กร และการเร่งระยะเวลาในการสร้างรายได้ให้เร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีมีความท้าทายต่างๆ ที่จำเป็นจะต้องยอมรับเมื่อใช้วิธีนี้ เช่น บริษัทต้องการขยายขอบเขตของตนเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าที่ไม่ได้รับการตอบสนองและบริษัทควรคิดให้กว้างว่าสามารถใช้ความสามารถของบริษัทอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทต้องขจัดรูปแบบการควบคุมและการสั่งการทรัพยากรต่างๆ ออกไป เพราะเมื่อใช้บริษัทภายนอกแล้ว บริษัทจะสามารถเพียงกำหนดและมีอิทธิพลแต่ไม่สามารถควบคุมบริษัทเหล่านั้นได้
นอกจากนี้ John ยังได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดในการ Scaling Edges (ขยายขีดจำกัดการเติบโต) และสำหรับองค์กรขนาดใหญ่แล้วสิ่งนี้มีความหมายอย่างไร องค์กรขนาดใหญ่มักจะถามเสมอว่าจะอยู่และก้าวไปข้างหน้าในโลกที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร จากประสบการณ์นั้น การเปลี่ยนแปลงในองค์กรขนาดใหญ่มักจะล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมาย เนื่องจาก Scaling Edges หมายถึงองค์กรจะต้องแสวงหากรอบของธุรกิจที่มีอยู่และขยายขีดจำกัดนั้นให้กว้างขึ้น ก่อนปรับให้กลายมาเป็นธุรกิจหลักในช่วงเวลาที่เหมาะสม Scaling Edges ต้องใช้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อย ซึ่งในช่วงแรกจะให้ผลกำไรไม่มากนักและจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับ Exponential Forces (แรงผลักดันอย่างก้าวกระโดด) ที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจของคุณ
อนาคตขององค์กรจะเป็นเช่นไร?
ศาสตราจารย์ Christensen มองว่า การปรับตัวให้เป็นดิจิทัลจะเป็นส่วนที่สำคัญขององค์กร ซึ่งส่วนนี้จะทำให้บริษัทสามารถสร้างนวัตกรรมได้รวดเร็วกว่าระบบแบบเก่า ๆ ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญขององค์กรคือ Digitalization และบางตลาดเองก็สามารถปรับตัวรับนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว ฝั่งของ John เชื่อว่าดิจิทัลและ Exponential Forces กำลังจะเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ ธุรกิจขนาดเล็กจะสร้างผลกำไรได้ และอีกส่วนจะมีการรวมกิจการกันมากขึ้น แนวโน้มทั้งสองนี้จะส่งเสริมกันและกัน บริษัทขนาดใหญ่จึงต้องชัดเจนว่าต้องการอยู่ในภาคส่วนใดของเศรษฐกิจ
Carin ได้สรุปการเสวนาครั้งนี้ด้วยการถามคำถามในเรื่องของคุณธรรมและจริยธรรมสำหรับองค์กรในอนาคต John แสดงทัศนะว่า
คุณธรรมและจริยธรรมจะเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ ผู้คนจะต้องนึกถึงโอกาสทางธุรกิจที่ดำเนินตามจริยธรรม อาทิ ความหลากหลายทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม หรือเพศนอกจากจะมีความสำคัญทางจริยธรรมแล้ว ยังสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจอีกด้วย เราจะสร้างคุณค่าให้มากขึ้นด้วยการมีความหลากหลายที่มากขึ้น ความไว้วางใจจะเป็นตัวกำหนดที่สำคัญสำหรับความสำเร็จของธุรกิจในอนาคต
ภายในงานนอกจากมี session ต่างๆ ที่น่าสนใจนำเสนอเทรนด์ที่เกิดขึ้นในหลายๆ เรื่องเช่น
นอกจากการไปร่วมงานหลักอย่าง SU Global Summit และเข้าเยี่ยมชมบริษัทยักษ์ใหญ่ข้างต้นแล้ว ยังมีโอกาสได้พบกับ Speaker อีกหลายคนที่มาแชร์ความรู้ให้ต่างหากกับกลุ่มที่ไปอาทิเช่น
นับเป็นทริปที่อัดแน่นด้วยเนื้อหาและได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ อีกหลายอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่กำลังพูดถึงกันมากคือการปรับตัวขององค์กรขนาดใหญ่ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนเป็นสำคัญ ทำอย่างไรให้อยู่รอด เรียกว่าเก็บมาเขียนได้ไม่หมดจริงๆ แล้วพบกับเนื้อหาแนว Key Takeaways สิ่งที่ได้เรียนรู้อีกในบทความถัดๆ ไปจากทีมงานเช่นเคย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด