ในปัจจุบัน ESG เป็นแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนที่ประกอบไปด้วย 3 มิติด้วยกัน นั้นคือ Environment, Social และ Governance ที่กำลังได้รับความนิยมจากนักลงทุนในการใช้ประกอบการพิจารณาการลงทุนเพราะเป็นหลักเกณฑ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล และเป็นการสะท้อนความรับผิดชอบขององค์กรที่มีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) อีกทั้งการนำเสนอผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างยั่งยืน
โดยมีผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ถึงพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป พบว่า 97% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ยินดีจ่ายแพงขึ้นเพื่อซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นักลงทุนนำปัจจัยความเสี่ยงด้าน ESG มาเป็นปัจจัยประกอบการตัดสินใจในการลงทุน อีกทั้งหน่วยงานกำกับดูแล ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นด้าน ESG มากขึ้นด้วยหลักเกณฑ์ในต่างประเทศ เช่น CBAM – Carbon Border Adjustment Mechanism ของสหภาพยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาที่จะประกาศใช้ มีความเข้มงวดมากขึ้น หรือหลักเกณฑ์ในประเทศ เช่น ความต้องการให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลรายงานด้าน ESG มาตรการจัดเก็บภาษีคาร์บอน บริษัทต่างๆ ต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร เป็นต้น
ธนาคารกสิกรไทย นำโดยคุณกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารที่ดำเนินธุรกิจบนหลักการแห่งความยั่งยืน (Bank of Sustainability) มาอย่างต่อเนื่อง และเล็งเห็นถึงความสำคัญที่จำเป็นเร่งด่วนและโอกาสต่อเศรษฐกิจไทย จึงได้ประกาศ KBank ESG Strategy 2023 ที่ว่าด้วยยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการบนแนวคิด ESG ที่เน้นการทำงานที่เป็นระบบ เน้นการวัดผล และพัฒนาการดำเนินงานตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมมุ่งสู่การเป็นธนาคารผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยมีแผนงานและเป้าหมายในมิติต่างๆ ดังนี้
ในด้านสิ่งแวดล้อม ธนาคารกสิกรไทยได้ประกาศความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Commitment) และเดินหน้าตามแผนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero แล้ว
พร้อมเป้าหมาย 4 ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ในปี 2023 ได้แก่
“เราจะจัดลำดับกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อประเมินและจัดทำแผนกลยุทธ์การลดก๊าซเรือนกระจกรายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และกลุ่มเหมืองถ่านหิน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 27% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในพอร์ตโฟลิโอของธนาคารและเตรียมขยายการทำงานร่วมกับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญอื่นๆ”
ในมิติสังคม หนึ่งในบทบาทสำคัญของธนาคาร คือ การสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินและการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial inclusion and financial literacy) และอีกหนึ่งเรื่องที่ธนาคารให้ความสำคัญมากก็คือความปลอดภัยและข้อมูลความเป็นส่วนตัวลูกค้า ธนาคารช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินโดยเฉพาะลูกค้าบุคคลที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน หรือลูกค้ารายเล็ก ซึ่งอาจจะไม่มีบัญชีเงินเดือน ผู้ประกอบอาชีพอีสระที่ไม่มีเอกสารยืนยันรายได้ โดยธนาคารจะพิจารณาอนุมัติจากข้อมูลอื่นๆประกอบ รวมถึงลูกค้าธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 2.5 ล้านบาทต่อปี ซึ่งธนาคารกสิกรไทยได้เปิดเผยข้อมูลในเดือนกันยายนปี 2565 ไว้ว่าได้ปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายเล็กกว่า 500,000 ราย มูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท
“และตั้งเป้าหมายให้ลูกค้ารายเล็กอีก 1,900,000 ราย เข้าถึงสินเชื่อได้ และต้องให้ความรู้ทางการเงิน ความปลอดภัยทางไซเบอร์กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ 10 ล้านรายในปี 2566”
ในฐานะที่ธนาคารเป็นต้นน้ำของทุกธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทยจึงให้ความสำคัญเรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณา ESG credit เป็นอย่างมาก เพื่อให้แน่ใจว่าทุกเม็ดเงินสินเชื่อที่ได้ปล่อยออกไปไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบให้แก่เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงมีการกำหนดเณฑ์การพิจารณาและ Process ที่เข้มข้น ที่ธนาคารกสิกรไทยกำหนดให้ สินเชื่อโครงการและเครดิตเชิงพาณิชย์ของลูกค้าผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป ต้องเข้าสู่การประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ทั้ง 100% และมีสินเชื่อที่ผ่านกระบวนการนี้กว่า 340,000 ล้านบาท
นอกจากนี้คุณกฤษณ์ ยังกล่าวอีกว่า
“ที่เราบอกว่า เราอยากเป็นผู้นำ โดยวิธีคิดของผู้นำ คือ ไม่รอ ขอวิ่งแล้ว แต่เราไม่สามารถไปคนเดียวได้ ถ้าคนไม่วิ่งตามมา สมมติเราให้แคมเปญดอกเบี้ยดึงลูกค้าหรือจูงใจมาก และทำอยู่แบงก์เดียว แต่แบงก์อื่นไม่ทำ ก็ไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะเราต้องสร้างผลตอบแทนให้น่าสนใจ ฉะนั้น เราต้องแข็งแรงด้วย”
โดยธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าหมายในการสร้างความร่วมมือทั้ง Ecosystem โดยแนะนำให้ภาคธุรกิจปรับตัวเพื่อให้พร้อมกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาวด้วยการประเมินความเสี่ยงด้านความยั่งยืน (ESG Risk) ในทุกมิติ ปรับตัวให้ทันเทรนด์รักษ์โลกที่ได้รับความนิยมในทุกภาคส่วน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต และตรวจวัดและจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) เพื่อให้ลูกค้า สังคม และประเทศ เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ธนาคารทำงาน โดยนำหลักการ ESG เข้าไปอยู่ในทุกกระบวนการ พบว่า มีความท้าทายสำคัญในประเด็นการจัดการที่ต้องพิจารณาจากมิติที่หลากหลาย ดังนั้น หัวใจของการขับเคลื่อนธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน คือ ต้องรักษาสมดุลการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง และต้องมีแผนสำรองอยู่เสมอ ให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง เพราะความยั่งยืนเป็นกระบวนการที่ไม่มีสิ้นสุด
“Sustainability is a never ending process”
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด