แก้เกม AI Chip ร้อน! Microsoft โชว์ ‘Microfluidics’ นวัตกรรมหล่อเย็นบน Silicon ดีขึ้น 3 เท่า

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้คือยุคของ AI อย่างแท้จริง แต่ยิ่ง AI เก่งขึ้นเท่าไหร่ พลังการประมวลผลที่ต้องใช้ก็ยิ่งมหาศาลขึ้นเท่านั้น และผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ "ความร้อน" ที่เกิดขึ้นบน AI Chip ใน Datacenter ซึ่งร้อนกว่าชิปรุ่นก่อนๆ หลายเท่าตัว

ความร้อนนี่เองที่กำลังจะกลายเป็นกำแพงที่ขัดขวางความก้าวหน้าของ AI ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะใครๆ ก็รู้ว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กับความร้อนเป็นของที่ไม่ถูกกัน แต่ล่าสุด Microsoft ได้ออกมาประกาศความสำเร็จในการทดสอบเทคโนโลยีระบายความร้อนใหม่ที่ชื่อว่า Microfluidics ซึ่งแก้ปัญหานี้ได้ตรงจุด และมีประสิทธิภาพดีกว่าเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้อยู่ในปัจจุบันถึง 3 เท่า!

ai chip

Microfluidics คืออะไร? ทำไมถึงดีกว่าเดิม?

อธิบายง่ายๆ เทคโนโลยีระบายความร้อนที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันอย่าง Cold Plate ก็เหมือนกับการเอาแผ่นประคบเย็นไปวางไว้บนตัวชิป ซึ่งระหว่างแผ่นกับตัวชิปยังมีวัสดุอื่นๆ คั่นอยู่หลายชั้น ทำให้การระบายความร้อนทำได้ไม่เต็มที่ เหมือนพยายามประคบเย็นโดยมีผ้าห่มกั้นไว้

แต่ ‘Microfluidics’ คือการยกเครื่องแนวคิดใหม่ทั้งหมด โดยเปลี่ยนจากการระบายความร้อน "ภายนอก" มาเป็นการระบายความร้อน "ภายใน" ตัวชิปโดยตรง

วิธีการของ Microsoft คือการ "แกะสลัก" ช่องหรือร่องขนาดจิ๋ว (Micro-channels) ที่มีความกว้างเท่าเส้นผม ลงบนด้านหลังของแผ่น Silicon ของชิปโดยตรง แล้วปล่อยให้ของเหลวหล่อเย็น (Liquid Coolant) ไหลผ่านช่องเหล่านี้เพื่อสัมผัสกับเนื้อชิปและดึงความร้อนออกไปจากแหล่งกำเนิดทันที

ผลลัพธ์ที่ได้คือประสิทธิภาพที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด จากการทดสอบในแล็บพบว่า Microfluidics:

  • ระบายความร้อนได้ดีกว่า Cold Plate ถึง 3 เท่า (ขึ้นอยู่กับ Workload)
  • ลดอุณหภูมิสูงสุดของ Silicon ใน GPU ลงไปได้ถึง 65%

Sashi Majety ผู้จัดการฝ่ายเทคนิคอาวุโสของ Microsoft ถึงกับบอกว่า "ถ้าอีก 5 ปีข้างหน้า คุณยังพึ่งพาเทคโนโลยี Cold Plate แบบเดิมๆ อยู่ คุณจะไปต่อไม่ได้"

ไม่ใช่แค่เย็นขึ้น แต่ปลดล็อกศักยภาพใหม่ๆ ได้

ประโยชน์ของ Microfluidics ไม่ได้หยุดอยู่แค่การทำให้ชิปเย็นลง แต่ยังส่งผลกระทบเชิงบวกไปทั้งระบบ ตั้งแต่ระดับชิปไปจนถึงการออกแบบ Datacenter ทั้งหมด

  • Overclock ได้อย่างสบายใจ: ในการใช้งานจริงอย่าง Microsoft Teams จะมีช่วงที่ปริมาณการใช้งานพุ่งสูง (Spiky Workloads) เช่น ตอนเริ่มประชุม ซึ่งการจะรับมือกับช่วงพีคแบบนี้ได้ต้องอาศัยการ Overclock เพื่อรีดประสิทธิภาพเซิร์ฟเวอร์ให้สูงขึ้นชั่วคราว ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ชิปร้อนมาก แต่ด้วย Microfluidics ทำให้สามารถ Overclock ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าชิปจะละลาย เพิ่มทั้งความเร็ว ความเสถียร และลดต้นทุนที่ไม่ต้องสร้าง Capacity เผื่อไว้มหาศาล
  • Datacenter ที่หนาแน่นและทรงพลังกว่าเดิม: เมื่อความร้อนไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป วิศวกรสามารถออกแบบให้เซิร์ฟเวอร์วางชิดกันได้มากขึ้น (Increase Density) ทำให้ Datacenter มีพลังประมวลผลสูงขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม และลด Latency หรือความหน่วงในการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์
  • เปิดประตูสู่นวัตกรรมชิป 3 มิติ: การซ้อนชิปในแนวตั้ง (3D Stacking) เป็นสถาปัตยกรรมในฝันที่ช่วยลด Latency ได้มหาศาล แต่ที่ผ่านมาทำได้ยากมากเพราะปัญหาความร้อนที่สะสมอยู่ระหว่างชั้น แต่ Microfluidics อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สิ่งนี้เป็นจริงได้
  • ประหยัดพลังงานและยั่งยืนขึ้น: เมื่อระบายความร้อนได้โดยตรง ของเหลวหล่อเย็นก็ไม่จำเป็นต้องเย็นจัดเท่าเดิม ช่วยประหยัดพลังงานที่ใช้ในการทำความเย็นมหาศาล และลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้าโดยรวม

ภาพชิป Microfluidics chip ที่พัฒนาโดย Microsoft ถูกครอบป้องกันไว้ พร้อมกับติดตั้งท่อสำหรับให้ของเหลวระบายความร้อนไหลเวียนได้อย่างปลอดภัย - Credit: Photo by Dan DeLong for Microsoft.

ใช้ AI ออกแบบช่องระบายความร้อนที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ

แม้แนวคิด Microfluidics จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การทำให้เกิดขึ้นจริงนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง การออกแบบช่องขนาดจิ๋วที่ต้องไม่ตื้นจนตันและไม่ลึกจนแผ่น Silicon เปราะบาง การหาชนิดของเหลวหล่อเย็นที่เหมาะสม ไปจนถึงการออกแบบแพ็กเกจกันรั่ว ทั้งหมดคือความท้าทายทางวิศวกรรมขั้นสูง

และไม้เด็ดของ Microsoft คือการนำ AI มาช่วยออกแบบ โดยร่วมมือกับสตาร์ทอัพสัญชาติสวิสอย่าง Corintis เพื่อสร้างดีไซน์ช่องระบายความร้อนที่ได้แรงบันดาลใจจากชีวภาพ (Bio-inspired Design) มีลักษณะคล้ายกับ "เส้นใบไม้" หรือ "ลายปีกผีเสื้อ" ซึ่งเป็นรูปแบบที่ธรรมชาติพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการลำเลียงสารต่างๆ ไปยังจุดที่ต้องการได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว

นวัตกรรมที่ไม่ใช่แค่เพื่อ Microsoft แต่เพื่อทั้งอุตสาหกรรม

Microsoft มองว่า Microfluidics คือรากฐานที่สำคัญสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ในอนาคต และกำลังเดินหน้าวิจัยเพื่อนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับชิปที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองอย่าง Cobalt และ Maia รวมถึงทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมเพื่อผลักดันให้ Microfluidics กลายเป็นมาตรฐานใหม่

นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า การจะไปให้สุดในโลกของ AI ไม่ใช่แค่เรื่องของ Software หรือ Algorithm ที่ฉลาดขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยนวัตกรรมทางวิศวกรรม Hardware ที่ล้ำหน้าควบคู่กันไปด้วย ซึ่งครั้งนี้ Microsoft ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า อนาคตของ AI ควรเป็นอนาคตที่ "เย็น" ลงกว่าเดิม


ที่มา: Microsoft News


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำไมองค์กรทุ่มงบให้ AI แต่ยังไม่เห็นผลจริง ? เปิดมุมมองกับ ABeam Consulting ผู้คลุกคลีกับ Data & AI ขององค์กรไทย

ทำไมทุ่มงบ AI แต่ไม่เห็นผล? เจาะลึกมุมมองจาก ABeam Consulting ถึงสาเหตุที่แท้จริง ตั้งแต่ปัญหาข้อมูลใช้ไม่ได้ จนถึงวัฒนธรรมองค์กร พร้อมแนวทางปรับตัวให้ AI ใช้งานได้จริงในปี 2025...

Responsive image

ส่องเทรนด์ AI ปี 2026 เมื่อเทคโนโลยีเป็น 'คู่คิด' แต่ความเร็วอาจเป็น 'กับดัก'

ปี 2025 AI ได้กลายเป็นเครื่องมือของคนทำงานไปแล้ว และในปี 2026 กำลังจะเป็นอีกก้าวสำคัญ เพราะ AI จะไม่ได้แค่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แต่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจมากขึ้นเรื่อย ๆ...

Responsive image

Nvidia ทุ่ม 2 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าซื้อเทคและทีม Groq สตาร์ทอัพชิป LPU หวังตัดคู่แข่งและเดินเกมคุมโครงสร้างพื้นฐานโลก AI

Nvidia เดินหมากใหญ่ด้วยดีลมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ กับ Groq สตาร์ทอัพชิป LPU โดยไม่ซื้อกิจการ แต่เลือกถือสิทธิเทคโนโลยีและดึงทีมแกนหลักเข้าร่วมทัพ เพื่อเร่งครองเกม AI Inference แล...