ทำความรู้จัก Ninja Van บริการส่งพัสดุไฟแรง ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาแก้ปัญหาการส่งของ | Techsauce

ทำความรู้จัก Ninja Van บริการส่งพัสดุไฟแรง ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาแก้ปัญหาการส่งของ

ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของ E-Commerce และร้านค้าออนไลน์ในเมืองไทย ทำให้มีผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก และมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด หนึ่งในนั้นคือ Ninja Van ผู้ให้บริการส่งพัสดุเอกชนจากประเทศสิงคโปร์ที่เริ่มเข้ามาตีตลาดประเทศไทย โดยชูเทคโนโลยีที่แตกต่างจากเจ้าอื่น พร้อมช่วยให้การบริการสะดวก ง่าย เร็ว สามารถติดตามได้แบบ real-time แถมยังราคาไม่แพงอีกด้วย วันนี้ Techsauce จะพาไปนั่งพูดคุยทำความรู้จักกับ Ninja Van กันให้มากขึ้น

Ninja Van ก่อตั้งมานานแค่ไหนแล้ว?

Ninja Van เริ่มให้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาตั้งแต่ปี 2014 ที่ประเทศสิงคโปร์ และเริ่มขยายไปสู่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับประเทศไทย Ninja Van เริ่มเข้ามาในปี 2016 และประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา

เว็บไซต์ E-Commerce อะไรบางที่คุณร่วมงานด้วย?

เราร่วมงานกับ E-Commerce หลายเจ้า อย่าง Page 365/ Lazada/ Thai Ticket Major/ Pomelo/ Shopee/ Chilindo

ปัญหาหลักๆ ที่คุณมองเห็นจากธุรกิจโลจิสติกส์ในเอเชียคืออะไร?

หลักๆ เลยคือ กระบวนการขนส่งพัสดุยังคงเป็นระบบ manual อยู่ และต้องกรอกแบบฟอร์มมากมายในการขนส่ง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการทำของหาย ลูกค้าไม่ได้รับของที่สั่ง Ninja Van จึงเกิดขึ้นเพื่อใช้เทคโนโลยีมาเปลี่ยนแปลงระบบการขนส่งให้ดีขึ้นในภูมิภาคนี้ พวกเราตั้งใจให้บริการขนส่งให้กับธุรกิจทุกขนาด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้านโลจิสติกส์ให้ดีที่สุด

เทคโนโลยีอะไรที่คุณพัฒนาขึ้นมาใช้กับการบริการ และมันจะช่วยยกระดับธุรกิจโลจิสติกส์อย่างไร?

เราผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีหลายอย่างขึ้นมาเอง ตัว applications ของเราสร้างบนระบบ Java เทคโนโลยีใหม่ที่ถูกออกแบบมาให้รองรับกับช่วงเวลาที่มีคนใช้งานเยอะมากๆ โดยใช้ทฤษฎี multi-cloud สิ่งที่ทำให้เราสู้กับเจ้าอื่นได้คือการพัฒนาด้านนวัตกรรมที่ช่วยให้เรารองรับข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ และมีอัลกอริธึมที่ช่วยเรื่องระบบอัตโนมัติ

คุณสร้างระบบที่ว่าขึ้นมาอย่างไร? หรือมีการร่วมมือกับบริษัทอื่นด้วยไหม?

ไม่เลย เทคโนโลยีทุกอย่างของเราสร้างและพัฒนาโดย in-house ของ Ninja Van

Ninja Van แตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร?

อย่างแรกเลย ด้วยความที่เราเป็น Startup เราจึงมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าผู้ให้บริการ local ที่ครองตลาดอยู่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่จะดึงดูดผู้ทำธุรกิจ E-Commerce ใหม่ๆ ที่กำลังมองหาผู้ให้บริการส่งของ แต่แค่เทคโนโลยีอย่างเดียวไม่ช่วยทำให้ลูกค้าหันมาใช้บริการของเรา

เราจึงใช้เวลาในการพัฒนาความเชื่อมั่นในบริการของ Ninja Van โดยช่วยเหลือลูกค้าในทุกๆ ขั้นตอนตลอด 24 ชั่วโมง ลูกค้าที่ทำธุรกิจต่างๆ สามารถใช้เทคโนโลยีของเราเพื่อให้การบริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมันมีระบบที่ตรวจสอบได้ แบบ real-time ลูกค้าสามารถเขียน chat คุยกับ Customer Service ของเราได้ตรงโดยไม่ต้องนั่งเขียนอีเมล์หรือโทรศัพท์เข้ามา

เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Ninja Van ได้ออก application ชื่อว่า Ninja Easy สำหรับผู้ขายของออนไลน์ที่ต้องการส่งพัสดุไปที่ต่างๆ ภายในประเทศไทย ที่พร้อมให้บริการทั้งบนระบบ iOS และ Android โดยผู้ใช้สามารถเรียกใช้บริการให้ Ninja Van ไปรับของที่ไหนก็ได้ในกรุงเทพ ภายใน 90 นาที และส่งไปยังที่ต่างๆ ทั่วประเทศได้ภายใน 1-3วัน

เรายังมีระบบการเก็บเงินปลายทาง หรือ Cash On Delivery ที่เป็นอีกทางเลือกในการจ่ายเงินสำหรับลูกค้าคนไทย ( 30% ของลูกค้า E-Commerce ในไทยใช้บริการนี้ ) เทคโนโลยีของเราจะช่วยให้การจ่ายเงินปลายทางมีความน่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงผู้ส่งก็จะได้รับเงินตรงเวลาและเต็มจำนวนอย่างแน่นอน

ผู้ที่ร่วมลงทุนกับ Ninja Van คือใครบ้าง?

ในการระดมทุนระดับ Series B เราได้รับเงินลงทุน 30 ล้านดอลลาร์ จาก Abraaj, Monk’s Hill Ventures, B Capital Group และ Yahoo Japan Capital

Ninja Van ประสบความสำเร็จในประเทศไหนมากที่สุดในขณะนี้?

ในสิงคโปร์เราค่อนข้างแข็งแรงที่สุดเพราะว่าเราเริ่มมาจากที่นั่น แต่สำหรับตลาดในประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ทำไมถึงเลือกขยายมายังประเทศไทย?

เรามองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจในเมืองไทย เพราะที่นี่ธุรกิจ E-Commerce และ การค้าขายบน Social media เพิ่มขึ้นเยอะมาก

ตอนนี้มีแพลนจะขยายไปประเทศไหนในเอเชียอีกบ้างไหม?

ในตอนนี้เรายังโฟกัสและขยายไปที่ตลาดปัจจุบันที่เราอยู่ก่อน ยังไม่มีแพลนขยายไปที่อื่น

คุณหวังกับตลาดเมืองไทยไว้อย่างไร?

เราหวังว่าจะสามารถให้บริการขนส่งด้วยระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้กับทุกคนในประเทศไทยได้

อนาคตของ Ninja Van จะเป็นยังไง?

ในอนาคตเราอยากจะมีโอกาสทำธุรกิจแบบ cross-business มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ให้บริการแก้ปัญหาด้านการขนส่งด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่อลูกค้าทั้งภาคธุรกิจทุกขนาดและผู้บริโภค

มองว่าอนาคตของธุรกิจโลจิสติกส์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นยังไง?

ด้วยการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราเล็งเห็นว่าในอนาคตจะยิ่งมีความต้องการใช้บริการโลจิสติกส์มากขึ้นเรื่อยๆ และเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ผู้ให้บริการควรจะทำให้ระบบเป็นอัตโนมัติ และให้ความสะดวกสบาย ความยืดหยุ่นในการเลือก options ต่างๆ ในการส่งของ รวมถึงให้บริการผู้รับด้วยระบบการติดตามของที่บอก status ต่างๆ อย่างละเอียดแม่นยำ

ตั้งแต่ให้บริการมา มีปัญหาอะไรบ้างที่คุณเจอและแก้ไขมันอย่างไร?

ก็คล้ายๆ กับ startup ด้านเทคโนโลยีอื่นๆ ในตอนแรกๆ เรามีปัญหาเรื่องการแบ่งงบประมาณการดำเนินงาน แต่หลังจากนั้นเราก็ผ่านมันไปได้ด้วยการทำเข้าใจความต้องการของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายผ่านบริการของเรา เรารวบรวม feedback และมีฝ่าย engineer ที่พัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับตลาด local แต่ละที่ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศไทยหรือที่อื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในท้ายที่สุดแล้ว Ninja Van จะช่วยบริการโลจิสติกส์ที่มีความสะดวก ง่าย ต่อผู้ทำธุรกิจต่างๆ และ ลูกค้าทุกคน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม Ninja Van

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image
Responsive image

9 ทักษะดิจิทัล ปี 2024 สร้างมูลค่าให้บริษัทด้วย Tech Skills แห่งอนาคต

ทักษะดิจิทัล หรือทักษะด้านเทคโนโลยี (Tech Skills) ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและแม่นยำ ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด...

Responsive image

AI ล้ำหน้าหรือภัยอนาคต? แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ล่าหรือเหยื่อ | Tech for Biz EP.17

ในยุคที่ AI เติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีการคาดการณ์ว่ากว่า 300 ล้านตำแหน่งจะหายไป คำถามคือ คุณจะยืนอยู่ฝ่ายไหนระหว่างเหยื่อที่ถูกแทนที่ หรือนักล่าที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือ? แล้วต้องปรับต...