นับตั้งแต่ปูตินประกาศเปิดสงครามกับยูเครนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ุ 2022 นอกเหนือจากความทุกข์ทรมานจากความยืดเยื้อของสงครามและวิกฤตด้านมนุษยธรรมแล้ว ยังมีผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อทั่วโลกจากการเติบโตที่ช้าลงและอัตราเงินเฟ้อที่เร็วขึ้น โดย IMF คาดว่าผลกระทบด้านเศรษฐกิจจะเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
ปัจจัยที่หนึ่ง พลังงานและอาหารที่มีราคาสูงขึ้นจะผลักดันให้เกิด ‘ภาวะเงินเฟ้อ’ เนื่องจากรัสเซียเป็นแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ส่วนยูเครนก็เป็นผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ ซึ่งการหยุดชะงักจากภาวะสงครามทำให้ราคาสินค้าทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น
ปัจจัยที่สอง ‘ห่วงโซ่อุปทานที่ต้องหยุดชะงัก’ หรือล่าช้าลง ทั้งการขนส่งสินค้าและด้านการเงิน จากการคว่ำบาตรธนาคารใหญ่ในรัสเซียและระบบ SWIFT อาจทำให้บัญชีดุลสะพัดของหลายประเทศต้องขาดดุล
ประการที่สาม ความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงและความไม่แน่นอนจะส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ เกิด ‘ความผันผวนในตลาดการเงิน’ และอาจกระตุ้นให้เงินทุนไหลออกจากประเทศกลุ่ม Emerging market โดยทันทีที่ปูตินเปิดฉากสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรง
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย SET ปรับตัวลดลงอย่างหนัก สกุลเงินดิจิทัลถูกเทขายอย่างรุนแรง ส่วนทองคำซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดพุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 เดือน อย่างไรก็ตาม August Maliakal ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันประเทศและนักวิจารณ์ กล่าวว่า สกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin อาจแข็งแกร่งขึ้นจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของรัสเซีย ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐสูญเสียตำแหน่งในการเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่นิยมของโลก
นอกจาก 3 ปัจจัยข้างต้นแล้ว จากรายงานของ McKinsey คาดว่ามาตรฐานเทคโนโลยีและวงการ Cyber ในหลายประเทศจะยกระดับและพัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐและความปลอดภัยได้ ในส่วนของภาคธุรกิจสงครามที่ไม่คาดคิดครั้งนี้ย่อมทำให้เกิดความสับสนในการวางท่าทีต่อเหตุการณ์ ซึ่งหลายบริษัทจำเป็นต้องตัดสินใจในทันที แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบในปัจจุบัน แต่ยังไงก็ต้องได้รับผลกระทบในระยะยาว โดย McKinsey คาดว่าการร่วมมือกันระหว่างบริษัทชั้นนำในการกําหนดราคาห่วงโซ่อุปทาน ด้านแรงงาน และการเงิน จะสามารถบรรเทาปัญหานี้ได้
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด