การเติบโตของอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน ส่งผลกระทบในหลายธุรกิจ แต่ธุรกิจหนึ่งที่เติบโตเป็นอย่างมากก็คือ E-Commerce โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ที่มีทั้งผู้แข่งขันหลายรายเข้ามาเพื่อคว้าโอกาสจำนวนมาก โดยในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมานี้ ผู้เล่นรายหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็น ‘ปลาไว’ มองเห็นช่องว่างทางการตลาดและใช้กลยุทธ์ถูกทางจนกลายเป็น E-Commerce ระดับต้นๆของไทยก็คือ Shopee ลองมาดูว่า Shopee ทำอย่างไรในการบุกสู่ตลาดนี้
2018 เรียกได้ว่าเป็นปีทองของ E-Commerce ใน SEA นอกจากพฤติกรรมผู้บริโภคในการใช้งานอินเทอร์เน็ตแล้ว ยังมีการผลักดันด้าน E-payment ของภาครัฐ และการลงทุนจากภาคเอกชนเพื่อพัฒนาระบบนิเวศน์ของ E-Commerce โดย ETDA ได้เปิดเผยว่าตลาด E-Commerce ในประเทศไทยในปี 2018 มีมูลค่าประมาณ 3,058,987.04 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 8% นับว่ามีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับแรกของอาเซียน ทั้งนี้ในปี 2019 ก็ยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ด้วยความพร้อมของ (Market Size) และโอกาสการเติบโต (Growth Potential) นี่เอง ที่ดึงดูดให้ E-Commerce รายใหญ่มากมายหันมาขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย รวมถึง Sea Group เจ้าของแพลตฟอร์ม Shopee ด้วยเช่นกัน
แม้ตลาด E-Commerce ประเทศไทยจะมีโอกาสเติบโตสูง แต่ก็มีผู้เล่นรายใหญ่อยู่หลายราย Shopee เรียกได้ว่าเป็นผู้เล่นน้องใหม่ที่ต้องทำการบ้านหนัก ในการเข้ามาบุกตลาด โดย Shopee ได้มีการวิจัยตลาด E-Commerce ในไทย และพบว่า แพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกใช้ในการซื้อสินค้าออนไลน์ ไม่ใช่ E-Market Place แต่เป็น Social Media เช่น Facebook Instagram และ Line นอกจากนี้ยังพบว่า Customer Journey ส่วนใหญ่ยังเกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟน และประเทศที่ผู้บริโภคใช้สมาร์ทโฟนมากเป็นอันดับแรกใน SEA ยังเป็นประเทศไทยอีกด้วย
นี่ทำให้ Shopee เห็น Market Gap ที่ยังไม่ได้รับการเต็มเติม และตัดสินใจเข้าเจาะตลาดในประเทศไทยในฐานะ Social Commerce ด้วยกลยุทธ์ 4 ด้าน
การขยายฐานผู้ใช้งานมีความสำคัญต่อการเติบโตมาก ยิ่งจำนวนผู้ใช้งาน (User) ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย มีจำนวนมากขึ้นเท่าไหร่ แพลตฟอร์มก็ยิ่งน่าใช้ในสายตาผู้บริโภคมากขึ้นเท่านั้น
ระยะแรก Shopee มีจุดแข็งในการซื้อขายสินค้าแบบ C2C (Customer to Customer) โดยมีผู้ขายระดับบุคคลทั่วไปจำนวนมาก เช่น แม่บ้าน พนักงานประจำ นักศึกษา ที่ต้องการสร้างรายได้เสริม ทำให้ลูกค้า Shopee ได้เจอสินค้าที่หลากหลายเสมือนเดินเลือกซื้อของอยู่ในสวนจตุจักรหรือตลาดนัดรถไฟ แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา Shopee มองหาโอกาสการขยายตลาดใหม่ๆ ประกอบกับธุรกิจ SMEs เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ช่วย SMEs ในการขยายฐานลูกค้า เราจึงได้เห็นร้านค้า SMEs บน Shopee มากขึ้น
ทั้งนี้ Shopee ยังจัดทำคอร์ส Shopee University ขึ้น เพื่อลงพื้นที่สอนการใช้งาน E-Commerce แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น ผลลัพธ์ที่ได้คือ ร้านค้า SMEs สามารถก้าวข้ามข้อกำจัดด้านการจัดส่งและการเข้าถึงลูกค้าได้ ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจจำหน่าย ‘ปลาร้า’ แห่งหนึ่ง สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึงสองเท่าหลังจากได้เปิดช่องทางออนไลน์ SMEs ในเวลาสามเดือน จนสุดท้ายติดลมบนพัฒนาจนกลายเป็นผู้ส่งออกไปต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์
สุดท้ายไม่ใช่เพียงฝั่งผู้ขายเท่านั้นที่จะเชื่อมเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคยังสามารถค้นพบสินค้าใหม่ๆ ที่ตรงความต้องการได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านระยะทาง
ในปัจจุบันความต้องการของผู้ใช้ E-Commerce ไม่หยุดอยู่เพียงแค่การซื้อสินค้า แต่ยังชอบที่จะได้รับ ‘ประสบการณ์’ เสมือนเดินเลือกซื้อของในชีวิตจริง ดังนั้น E-Commerce จึงต้องปรับตัวสู่ Experiential E-Commerce ที่ผู้ซื้อสามารถค้นพบสินค้าใหม่ที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน ได้ความเพลิดเพลินจากกิจกรรมเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ และมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนและผู้คนในแวดวงของตนเอง
ก้าวต่อไปของ Shopee คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งานด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ
ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ‘ปลาไว’ ที่คล่องตัวจะกิน ‘ปลาช้า’ และถึงแม้ ‘ปลาไว’ จะไม่ใช้ผู้เล่นที่กระโดดเข้ามาในตลาดเร็วที่สุด ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ หากว่องไวในการปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสในแต่ละสภาวะตลาด อย่าง Shopee
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด