มุมมองการใช้ Data Solutions และ Automation เพื่อยกระดับธุรกิจให้แข่งขันได้ในยุคดิจิทัลกับ STelligence ผู้ช่วยขับเคลื่อนองค์กร | Techsauce

มุมมองการใช้ Data Solutions และ Automation เพื่อยกระดับธุรกิจให้แข่งขันได้ในยุคดิจิทัลกับ STelligence ผู้ช่วยขับเคลื่อนองค์กร


การใช้ข้อมูลมีความสำคัญกับธุรกิจแทบทุกประเภท ประโยชน์หลักคือช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เช่น ธุรกิจ Financial, Retail หรือ Telecom ที่มีฐานลูกค้ามากมาย หรือธุรกิจประเภท B2B ด้าน Oil&Gas หรือ Manufactoring และธุรกิจบริการ ที่ต้องบริหารจัดการด้านการเงิน ด้านทรัพยากร ด้านคุณภาพ และงบประมาณ ให้สามารถแข่งขันได้ด้วยการใช้ข้อมูล โดยข้อมูลจะเก็บรวบรวมจากระบบ ERP , CRM หรือแม้แต่ Excel ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลต่างๆ ก็สามารถนำมาทำเป็นรายงาน หรือ Dashboard เพื่อประกอบการตัดสินใจได้หลากหลายมิติแบบเรียลไทม์ และต่อยอดไปยังการวิเคราะห์ต่างๆ ได้ทันท่วงที องค์กรจึงควรศึกษาปัญหาทางธุรกิจที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และเลือกลงทุนกับเทคโนโลยีที่เหมาะสม และทีมงานที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีที่มีประสบการณ์และความชำนาญ

ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ Data Analytic และ Digital Transformation อย่าง ดร.สันติสุข ลิ้มปิติเจริญโชติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอส เทลลิเจนซ์ จำกัด ให้มุมมองว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนตลอดเวลา ปัจจุบันข้อมูลขององค์กรและลูกค้าอยู่ในโลกดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งโควิด-19 เป็นตัวขับเคลื่อนองค์กรให้พนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ อีกทั้งลูกค้ายังสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ 

ในขณะที่องค์กรต้องลงทุนกับระบบไอทีเพื่อเข้าถึงลูกค้า และระบบต่างๆ ในองค์กร เพื่อติดตามการทำงานของทรัพยากร เช่นระบบแอปพลิเคชันหรือระบบสายการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ในการเก็บข้อมูล เพื่อให้บุคคลากรที่ไม่ได้อยู่ ณ สถานที่ทำงาน สามารถทำงานร่วมกับคนที่อยู่ที่สาขาได้ เพื่อให้ระบบ Machine Learning หรือ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์มากขึ้น การพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลที่ดีจะต้องนำข้อมูลจากหลายแหล่งมารวบรวม เชื่อมโยง ออกแบบ Data Model และมีการจัดการข้อมูล (Data Management) เพื่อลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความน่าเชื่อถือ และเข้าถึงได้ พร้อมให้ผู้บริหารหรือทีมวิเคราะห์สามารถนำไปใช้บริหารจัดการและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง และขยายผลได้

“การมี Big Data จะช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจได้แม่นยำ เป็นการลงทุนการบริหารจัดการต้นทุนได้ตรงจุด”

ดร.สันติสุข กล่าวต่อว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หลายองค์กรลงทุนด้าน Big Data เพื่อสร้างระบบข้อมูลให้สนับสนุนพนักงานทุกระบบให้วิเคราะห์ข้อมูลได้ด้วยตนเอง เป็นการเปลี่ยนจุดการตัดสินใจแบบรวมศูนย์จากผู้บริหาร ผู้จัดการ มาสู่พนักงานสายปฏิบัติงาน เป็นการขับเคลื่อนองค์กรสู่ Data-Driven Organization โดยให้พนักงานวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูลแผนกอื่นๆ ในองค์กร เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและเห็นภาพรวม เพิ่มศักยภาพในการตัดสินใจ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้พนักงานเข้าใจและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเติบโตของธุรกิจ

STelligence ช่วยองค์กรขับเคลื่อนด้วยพลังของข้อมูล

ดร.สันติสุข กล่าวต่อว่า ความท้าทายของการเริ่มใช้เทคโนโลยี คือต้องเข้าใจ Pain Point ของตัวเองก่อน ตรงไหนเป็นปัญหาที่ต้องแก้อย่างเร่งด่วน ที่ผ่านมาหลายองค์กรลงทุนกับ Data เป็นจำนวนมาก แต่กลับได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร หน้าที่ของ STelligence คือ การเข้าไปทำความเข้าใจปัญหาและดูว่าเทคโนโลยีที่ลูกค้าลงทุนไปแล้วมีอะไรบ้าง คนในองค์กรมีวัฒนธรรมอย่างไร ขั้นตอนการตัดสินใจของแต่ละ BU (Business Unit) เป็นอย่างไร จะต้องเป็นที่ปรึกษาใน 3 เรื่องนี้ เพื่อทำให้ลูกค้าได้เห็นความคุ้มค่าจากการลงทุน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ในเวลาอันสั้น (Quick Win) เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการพัฒนาต่อเนื่อง และสามารถที่จะใช้งานเทคโนโลยีเหล่านั้นได้เองในระยะยาว เพื่อลดต้นทุนโดยรวมของเทคโนโลยีในระยะยาว 

ซึ่งงานที่ปรึกษาด้านข้อมูลนั้นเหมือนงานที่ปรึกษาทั่วไป คือจะต้องเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ต้องเข้าใจว่าลูกค้ามีปัญหาอะไร ลงทุนเทคโนโลยีอะไรอยู่ทีมงานของลูกค้ามีทักษะอย่างไร เจอความท้าทายอะไร ก็จะทำให้รู้ว่าลูกค้าติดขัดอยู่ในขั้นตอนใด ก่อนจะเสนอโซลูชันเพื่อแก้ไขในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว เป็นการสนับสนุนลูกค้าแบบครบวงจร (End-to-end) “แต่ละองค์กรมีปัญหาแตกต่างกันไป บางองค์กรลงทุนเทคโนโลยีไปมากมาย แต่ขาดบางส่วนเราก็เข้าไปเติมเต็มให้ แต่บางองค์กรยังไม่เคยเริ่มลงทุนกับเทคโนโลยีก็ต้องพาเขามาเรียนรู้ตั้งแต่สเต็ปแรก”


 “เราเชื่อว่า Big Data จะอยู่กับเราไปอีกนานเพราะมันเป็นแกนหลักที่สำคัญขององค์กร เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันกับองค์กร และสร้างคุณค่าต่างๆ ให้กับประเทศไทยได้”

Data เชื่อมโยงธุรกิจด้วย Automation

เมื่อ Data เป็นแกนกลางของการตัดสินใจ การเชื่อมโยงข้อมูลจากการทำงานในระบบงานที่หลากหลายก็เป็นความท้าทายของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานที่จำเป็นจะต้องบันทึก ค้นหา ตรวจสอบ ขณะเดียวกันการเก็บข้อมูลที่เชื่อมโยงจากแอปพลิเคชันหลายๆ ตัวยังต้องใช้คนจำนวนมากในแผนกต่างๆ เข้ามาจัดการ ซึ่ง STelligence มองเห็นปัญหาของการใช้คนทำงานซ้ำๆ และเป็นงานที่ไม่เกิดคุณค่ากับองค์กรเท่าที่ควร จึงได้มีการคัดเลือกเทคโนโลยี และพัฒนาทีมในการให้บริการระบบ RPA หรือ (Robotic Process Automation) เพื่อแก้ปัญหาการทำงานซ้ำๆ ของคนในองค์กร ช่วยประหยัดเวลา ลดความผิดพลาด ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตรวจสอบได้ เพื่อให้คนในองค์กรสามารถมีเวลาไปพัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้ และได้โอกาสในการทำงานที่มีประโยชน์กับตนเองและบริษัทมากกว่าเดิม 

ดร.สันติสุข กล่าวว่า ความต้องการระบบ RPA มีมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่คนต้องทำงานจากบ้าน ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลตลอด จึงทำให้เกิดความต้องการมากขึ้น ซึ่ง RPA เข้ามาช่วยให้องค์กรสามารถประหยัดเวลาการทำงานได้ 80-90% และวัดความคุ้มค่าได้อย่างชัดเจน 

“ธุรกิจ RPA เราเติบโตมากกว่า 50% ในทุกๆ ปี ขณะเดียวกันทีมงานก็เติบโตอย่างมาก เราชื่อว่าตลาดนี้ยังมีความต้องการด้านนี้อีกมาก”

Transform องค์กร สร้างจุดเด่น ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า

ถึงแม้ว่า STelligence จะเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่หลากหลาย แต่เทคโนโลยีหนึ่ง จะมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นคู่แข่งอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งสำคัญที่ ดร.สันติสุข ให้ความสำคัญไม่แพ้การคัดเลือกเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่จะให้บริการลูกค้า คือการพัฒนาและ Transform องค์กร ซึ่งก็คือทรัพยากรบุคคลและวัฒนธรรมในองค์กร ที่จะต้องควบคู่ไปกับการสร้างคุณภาพในการให้บริการ เพื่อเป็นผู้ให้บริการครบวงจรมากยิ่งขึ้น ชำนาญหลายด้านมากขึ้น มีความเข้าใจและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

ดร.สันติสุข กล่าวว่า การที่บริษัทจะไปถึงจุดนั้นได้จะต้องเริ่มต้นจากการสรรหาบุคลากรที่มี Multi-skill มากขึ้น เพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เรียนรู้ได้กว้างขึ้น เพราะไม่ใช่เฉพาะคนที่มีความรู้ด้านไอทีที่จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ดี หรือสร้างระบบ RPA ได้ดี เราพบว่ามีพนักงานหลายๆ คนที่จบมาจากสาขาต่างๆ ก็สามารถพัฒนาตนเองให้ทำงานในส่วนงาน Data Solution, RPA หรือ Security ได้เป็นอย่างดี 

ส่วนที่สอง มีระบบการเรียนรู้ การพัฒนาทีมงานที่มีทักษะที่ไม่เหมือนกัน สร้างระบบภายในให้สามารถบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management) เพื่อสร้างกระบวนการให้บริการกับลูกค้ารายหนึ่งถูกนำมาใช้ซ้ำได้มากที่สุด 

ส่วนสุดท้าย คือ เทคโนโลยีที่เลือกจะต้องเจาะจง มีความง่ายในการใช้งานและในการเรียนรู้ของกลุ่ม Business Users และมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงตามความต้องการในอนาคต และทุกๆ เทคโนโลยีต้องสามารถเชื่อมโยงกันได้ เราจะต้องโฟกัสคุณภาพการให้บริการในเทคโนโลยีที่ชำนาญจริงๆ ส่วนที่เหลือจะให้พาร์ทเนอร์เข้ามาช่วยดำเนินการให้คำแนะนำปรึกษา ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถให้บริการลูกค้าได้แบบครบวงจร และลดความเสี่ยงแต่ยังคงคุณภาพในการให้บริการได้ในระยะยาว 

“เรามีโซลูชันที่ Fit กับองค์กรในทุกขนาด เราพัฒนาทีมงาน Consulting อย่างเป็นระบบ บุคลากรมีความรู้หลากหลายด้าน และมีระบบบริหารจัดการที่สามารถให้บริการได้ดีอย่างต่อเนื่อง และตามเทคโนโลยีต่างๆ ได้ทัน นอกจากนี้เรายังมีความยืดหยุ่น ขณะที่ราคาของเรามีความคุ้มค่า สมเหตุสมผล ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะใช้บริการด้านใดบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นจุดแข็งของ STelligence”


เทรนด์การใช้ Data และ Automation จะเปลี่ยนไป

ดร.สันติสุข มองว่า ในอีก 3-5 ปี ความต้องการและการเติบโตของลูกค้าที่ต้องการใช้ Digital Solution ยังมีอีกมาก หนึ่งในกลยุทธ์ด้านข้อมูลที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน คือ Data Driven Organization ซึ่งหลายๆ องค์กรได้เริ่มแล้ว และหลายๆ องค์กรยังมีความท้าทายในการผลักดันให้สำเร็จ ซึ่งหากทุกคนในองค์กรสามารถวิเคราะห์ข้อมูล การตัดสินใจต่างๆ ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการทำงานได้ดียิ่งขึ้น สามารถแบ่งปันข้อมูลได้เพื่อตัดสินใจร่วมกัน จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง ซึ่งแนวทางหนึ่งที่จะทำให้กลยุทธ์นี้สำเร็จอาจจะต้องมีการวัดระดับความพร้อมด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Maturity level) เพื่อการวางแผนในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 

อีกส่วนหนึ่งคือการนำ Data มาใช้คาดการณ์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ตัดสินใจ แต่ใช้ AI มาช่วยตัดสินใจแทน ซึ่งเทรนด์เหล่านี้เริ่มเห็นมากขึ้นในอุตสาหกรรมการหาลูกค้า การประเมินความเสี่ยง หรือการผลิต เพราะต้องการการตัดสินใจที่ทันท่วงที

นอกจากนี้ยังมีเทรนด์การใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อ Transform ธุรกิจ (Data Monetization) หรือ การแลกเปลี่ยนข้อมูล (Exchange Data) เพราะธุรกิจจะเกิดขึ้นใหม่ได้นั้นมาจากการใช้ Data เป็นตัวขับเคลื่อน เช่น บริษัทที่เปลี่ยนตัวเองจากสายการบินมาทำ SuperApp เพราะต้องการ Data จากธุรกิจอื่นเข้ามาบนแพลตฟอร์ม หรือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบริษัทโทรคมนาคม กับ บริษัทด้านการเงิน ก็จะทำให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่จากการที่มีข้อมูลเพิ่มขึ้น

Big Data ในด้าน IT Operation, Cyber Security และ Automation

STelligence เป็นบริษัทคนไทยผู้บุกเบิกโซลูชันการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพาณิชย์กว่า 9 ปี เห็นประโยชน์ของการใช้ Big data ในอุตสาหกรรมอย่าง Telecom หรือ Financial มีการเก็บข้อมูลมากขึ้นกว่าที่ระบบจะประมวลผลได้ จึงได้เริ่มทำธุรกิจแรกเป็นที่ปรึกษาด้าน Big Data เทคโนโลยีด้าน IT Operation ใช้ข้อมูลจากระบบ IT Infrastructure และระบบ Cyber Security เพื่อแจ้งเตือนและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งบริษัทเป็นผู้ให้บริการในการวางระบบเฝ้าระวังในศูนย์ Cyber Security Operation Center (CSOC) และระบบรวมศูนย์ IT Operation Center กับลูกค้าขนาดใหญ่จำนวนหลายแหล่งทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ 

ดร.สันติสุข กล่าวต่อว่าระบบ Automation จะช่วยขยายขีดความสามารถของระบบ CSOC ได้ เพราะข้อมูลอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยมีหลากหลายชนิด และจะมีการส่งข้อมูลออกมาเก็บในแหล่งเดียว ซึ่งการโจมตีจากภายนอกหรือภายใน โดยปกติผู้โจมตีจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ โดยระบบสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาเชื่อมโยงกับระบบ Automation เพื่อสร้างเงื่อนไขที่ช่วยป้องกัน หรือโต้ตอบได้อย่างทันท่วงที ทำงานร่วมกับการใช้เจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวัง “เทคโนโลยี Data Solution + Cyber Security + Automation กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาด เพราะมนุษย์ไม่สามารถรู้เท่าทัน และตอบสนองต่อการโจมตีที่หลากหลายได้อย่างทันท่วงที”

เดินหน้าขยายตลาด ขยายบุคลากร ขยายเทคโนโลยีวางแผนเข้า IPO 

STelligence ตั้งเป้าที่จะเป็นพันธมิตรทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลระยะยาวกับองค์กรขนาดกลางและใหญ่ให้สามารถใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการเติบโตและสร้างความสามารถในการแข่งขันได้ในระดับสากล ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงและการเกิดขึ้นใหม่ของเทคโนโลยีต่างๆ และการเติบโตของจำนวนลูกค้า บริษัทจึงต้องวางแผนในการขยายทีม เพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อให้สามารถดูแลลูกค้าได้อย่างเป็นมืออาชีพ มีคุณภาพและมีความยั่งยืน รวมถึงการเปิดให้บริการโซลูชันใหม่ๆ ในอนาคต เช่น Intelligent Document Processing, No-Code Platform, บริการ Managed Service, บริการด้านการจัดหาบุคลากรด้านดิจิทัล หรือ บริการเกี่ยวกับ Cyber Security อื่นๆ ในอนาคต 

“เราต้องการสร้างองค์กรให้มีความยั่งยืน ซึ่งความยั่งยืนนั้นไม่ใช่แค่พนักงาน หรือลูกค้า แต่จะต้องประกอบไปด้วยระบบนิเวศอื่นๆ เช่น Community มหาวิทยาลัย องค์กรไม่แสวงหาประโยชน์ เพื่อทำให้ Business Model Canvas มันเปลี่ยนรูปแบบไป สามารถที่จะร้อยเรียงและเชื่อมโยงกันได้อย่างยั่งยืน”

เพราะฉะนั้น การที่บริษัทจะขยายระบบนิเวศ จึงต้องการการลงทุน ซึ่งปัจจุบันเราเริ่มทำ Research & Development ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยให้การสนับสนุนและส่งเสริมพนักงานที่มีความต้องการไปเรียนต่อทั้งในและต่างประเทศและสามารถที่จะทำงานควบคู่ร่วมกับเราได้ขณะที่เรียนอยู่ และนำความรู้มาช่วยสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้า ซึ่งกระบวนการต่างๆ เหล่านี้บริษัทต้องการพันธมิตรเข้ามาร่วมทำให้ ecosystem นี้แข็งแรง 

ดร.สันติสุข กล่าวว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในแผนจะนำพาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต ซึ่งการที่เป็นบริษัทมหาชนจะสามารถจะตอบโจทย์ให้ พนักงาน คู่ค้า ตลาดแรงงาน มหาวิทยาลัย และนักลงทุน ได้เติบโตร่วมกันอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน และสามารถสนับสนุนลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้นในระยะยาว 

“ปัจจุบันโลกอยู่ในยุค 4.0 เราจะต้องก้าวไปข้างหน้าแบบแพลตฟอร์มและ ecosystem บริษัทจึงไม่ได้มองที่ผลประกอบการ หรือเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่บริษัทต้องการสร้าง business model ที่เกิดจากการพัฒนา ecosystem ใหม่ ๆ การให้ลูกค้ามีส่วนร่วม การให้พนักงานีส่วนร่วม และการร่วมพัฒนากับภาคส่วนต่างๆทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ บริการใหม่ๆ ที่จะสร้างคุณค่าใหม่ๆ ที่แตกต่างและยั่งยืนให้กับทุกส่วนใน ecosystem” ดร.สันติสุข กล่าวในตอนท้าย 

หากสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อ STelligence ได้ที่


บทความนี้เป็น Advertorial

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สิงคโปร์ ทำอย่างไรให้เป็นยักษ์ใหญ่ Fintech?เมื่อหัวใจของนวัตกรรมคือ ‘คน’

โลกยุคดิจิทัลพาให้หลายวงการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะ Fintech ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีสิงคโปร์เป็นผู้นำด้านการเงินแล้ว นับได้ว่าเป็นศูนย์กลาง Fintech ของภูมิภาค SEA ก็ว่าได...

Responsive image

สำรวจ 5 เทรนด์สำคัญจากงาน Accenture Life Trends 2025 ที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคไทย

สำรวจ 5 เทรนด์สำคัญจากงาน Accenture Life Trends 2025 ที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคไทยและทั่วโลก ตั้งแต่ความลังเลในโลกดิจิทัล, การเลี้ยงลูกยุคใหม่, เศรษฐศาสตร์แห่งความใจร้อน, ศักดิ์ศรี...

Responsive image

Qwen2.5-Max คืออะไร หมัดสองจาก AI จีนโดยยักษ์ใหญ่ Alibaba ที่เก่งกว่า Deepseek R1

Qwen2.5-Max โมเดล AI ใหม่จาก Alibaba ท้าชน DeepSeek R1 และ GPT-4o ด้วยประสิทธิภาพสูงกว่า ใช้พลังงานน้อยลง และอาจเปลี่ยนสมดุลอุตสาหกรรม AI ระดับโลก...