ในช่วง 2-3 ปีมานี้ Startup เป็นคำที่ถูกใช้อย่างน่าตื่นเต้นในประเทศไทย เราได้เห็นวงการ Startup ไทยเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่าง มีบริษัท Startup หลายร้อยบริษัท เงินลงทุนจำนวนมากจากกลุ่มนักลงทุน มี Accelerate ที่ช่วยบ่มเพาะ Startup แต่ในขณะเดียวกัน เรื่องราวเหล่านี้สำหรับในสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เรื่องใหม่ บทความนี้เป็นบทความพิเศษเรียกว่า Guest Post โดยคนไทยผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการ Startup ในสหรัฐอเมริกา มาบอกเล่าประสบการณ์การเป็น Startup ใน Sillicon Valley รวมทั้งเรื่องราวเชิงลึกว่า Ecosystem ที่นั่นเป็นอย่างไร น่าตื่นเต้นที่ไหน ลองอ่านกันดูค่ะ
ในฐานะที่เป็นคนไทยเกิดและโตในประเทศไทย และฝักใฝ่อยากทำธุรกิจ Startup มาตั้งแต่เด็ก (คศ. 2004 — สมัยนั้นคำว่า Tech Startup ยังไม่ดังในไทย) ผู้เขียนได้เริ่มทดลองทำธุรกิจขณะที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย และออกมาทำธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา หลังเก็บประสบการณ์ทำงานจาก Microsoft Corporation และ Google Inc. มาได้ 4 ปี สุดท้ายผู้เขียนก็ตัดสินใจลาออกจากงานที่ Google และทำ Startup ของตัวเองมาได้ 4 ปีกว่าแล้วจนถึงตอนนี้
ทุกวันนี้เราอาจเป็น Startup ไทยเพียงไม่กี่ที่ที่ทำธุรกิจอยู่ใน Silicon Valley (ก่อนหน้านี้มีอยู่หลายบริษัทแต่ก็ทยอยกลับไทยกันไปหมดแล้ว) ปัจจุบันเรามีทีมงานทั้งหมด 9 คน และมีลูกค้าเป็นบริษัทใหญ่ ๆ ในอเมริกาอย่าง The New York Times, AOL, Forbes, Time Inc. ฯลฯ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้เขียนได้เห็นความแตกต่างทางด้านบุคลากร ตลาด รวมถึงสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากไทยพอสมควร เลยรู้สึกว่าอยากจะนำมาแชร์ เพราะไหน ๆ ก็มีโอกาสมาสัมผัสชีวิตที่นี่และได้เจออะไรที่น่าสนใจมาเยอะพอสมควร ก็หวังว่าจะเป็นแนวทางให้กับคนที่มีความสนใจใน Tech Startup และเรื่องนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ได้ศึกษาหรือเดินทางตาม หากมีความสนใจครับ
โลกเทคโนโลยีถือว่าหมุนเร็วมาก เราคงได้ยินเรื่องราวใหม่ ๆ ในวงการนี้ออกมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น VR, AR, AI, Robotics และอื่น ๆ อีกมากมายมหาศาล
เชื่อว่าคนในวงการเทคโนโลยีในไทยทุกคนรู้จักกันหมดแหละของใหม่ ๆ พวกนี้ แต่ถามว่าในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว โอกาสที่ของพวกนี้จะเกิดขึ้นและถูกใช้งานจริงมันจะเกิดที่ไหนเป็นที่แรก ๆ ? อันนี้ก็ต้องยอมรับครับว่ามันมักจะเกิดที่อเมริกาก่อน ส่วนที่ไทยนี่กว่าจะตามทันก็อีกนานพอสมควรเลย
สาเหตุก็ไม่ใช่อะไร เพราะที่นี่ตลาดมีความพร้อมและตอบรับนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็วมาก อีกทั้งที่นี่ยังเป็นที่รวมของผู้ผลิตนวัตกรรม อะไรใหม่ ๆ ออกมาก็จะออกจากที่นี่และได้ใช้แถวนี้เป็นที่แรก ๆ เสมอ
ถ้าเราลองมองย้อนดู คลื่นของ Technology Trend ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Wave ของ PC ในยุคของคอมพิวเตอร์รุ่นบุกเบิก Wave ของ Internet ในยุคของคอมพิวเตอร์เริ่มผูกกับการใช้ชีวิตประจำวัน และ Wave ของ Mobile ในยุคคอมพิวเตอร์เข้าไปอยู่บนมือของทุกคนได้อย่างแท้จริง ทุกสิ่งเหล่านี้จะเกิดที่นี่ก่อน ส่วนตลาดประเทศไทยจะต่างไปนิดนึงคือต้องรอให้ตลาดต่างประเทศชัดเจนเสียก่อน ประเทศไทยจึงนำเข้ามาใช้ตาม ไม่ว่าจะเป็น Software, Web App หรือ Social Network ซึ่งกว่าประเทศไทยจะตื่นตัว ผู้ให้บริการที่เป็นตัวหลักที่คนไทยใช้งานก็ตกเป็นของบริษัทระดับโลกอย่าง Microsoft, Google, Facebook, Line ไปหมดแล้ว
ผมอยู่ที่นี่ การนำไอเดียทางธุรกิจในลักษณะของนวัตกรรมใหม่ๆอย่าง VR/AR, AI, Robotics ที่สายตานักลงทุนในไทยอาจคิดว่าตลาดไทยยังใหม่เกินไปและไม่คุ้มค่าในการลงทุน (หรือต้องการรอดูตลาดต่างประเทศก่อน) ก็เลยค่อนข้างยากที่จะได้เม็ดเงินลงทุนหรือการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนไทย (แต่ก็ไม่เสมอไป อย่างบริษัทของเราสุดท้ายก็ได้ Invent จากทางไทยเข้ามาร่วมลงทุนด้วย ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ :) )
ในทางกลับกัน การนำเสนอไอเดียลักษณะนี้ใน Silicon Valley นั้นกลับเป็นเรื่องปกติมาก
ขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรง เมื่อสองปีที่แล้วสมัยที่ Virtual Reality ยังเป็นของใหม่มากในโลก ตอนนั้นผลิตภัณฑ์ OmniVirt ของเรายังเพิ่งเริ่มตั้งไข่ แต่พอผมยกเอาเดโมการเปลี่ยนพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์ให้กลายเป็นพื้นที่แสดงวีดีโอแบบ Virtual Reality ให้กับนักลงทุนที่นี่ดูปุ๊บ เค้าตื่นเต้นกับงานที่ผมแสดงให้ดูและพร้อมลงเงินลงทุนทันที โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องรอให้ตลาด Virtual Reality มันชัดเจนก่อน
ถามว่าทำไม ? ก็เพราะ Silicon Valley ถือว่าเป็นผู้นำของวงการเทคโนโลยีแล้ว เค้าจึงไม่คิดว่ามันมีความจำเป็นต้องไปรอดูงานจากประเทศไหน หากมีใครทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และมีศักยภาพออกมา แล้วเค้าพิจารณาแล้วว่ามีโอกาสสำเร็จได้เป็นคนแรก ๆ เค้าก็พร้อมจะลงทุนด้วยทันที
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุน พันธมิตร ลูกค้าที่นี่กล้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ สาเหตุเพราะว่าพวกเขาเคยผ่านการเป็นแนวหน้าของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา มีกรณีศึกษาของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่นี่อยู่มากมาย ซึ่งคนเหล่านี้เองที่กลับมาเป็นนักลงทุนในภายหลัง พวกเขาจึงกล้าที่จะเล่นกับอะไรใหม่ ๆ เพราะพวกเขาก็เคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้วนั่นเอง
มันเป็นเรื่องของการสร้าง Ecosystem ที่ผ่านมาตลอดหลายสิบปีครับ
มันเป็นเรื่องที่ยากทีเดียว ถ้าเราต้องทำธุรกิจแบบไม่ได้อยู่ใกล้ชิดลูกค้า ถ้าเราตื่นมาแล้วลูกค้าหลับอยู่ เราคงทำธุรกิจนี้ไม่ได้ดีที่สุด จริงไหมครับ?
(จริงครับ ตอบให้เลย)
ในสมัยก่อนผมเคยมีความคิดว่า ถึงแม้ตัวเราจะอยู่ในประเทศไทย แต่ด้วยอินเทอร์เน็ตที่ทำให้โลกเล็กลงแล้ว เราก็ต้องสามารถขายงานให้กับที่ไหนในโลกก็ได้สิ
ความคิดนี้ก็ถูกอยู่ครับ แต่มันจะเกิดขึ้นตอนที่ธุรกิจเราดังมีชื่อเสียงแล้ว แต่ถ้าธุรกิจของเรายังใหม่ การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อนำเอาข้อมูลมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เพราะตอนที่ธุรกิจเรายังใหม่อยู่นั้น มันมักจะมีรายละเอียดของการพัฒนาเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เต็มไปหมด อย่างเมื่อสมัยตอนที่ บิล เกตต์ ออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด บิล เกตต์ ก็ตัดสินใจบินไปยังเมือง Albuquerque เพื่อให้อยู่ใกล้กับลูกค้าและสามารถเข้าไปแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว นั่งเขียนโปรแกรมภาษา BASIC ทั้งวันทั้งคืนจนมันสามารถทำงานกับเครื่อง Altair ได้สำเร็จ
ซึ่ง ณ เวลานั้น บิล เกตต์ ไม่ใช่คนเดียวที่เขียนโปรแกรมได้ ยังมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ หรือ วิศวกรเก่ง ๆ จากบริษัทใหญ่ ๆ ในสหรัฐอเมริกาที่เขียนโปรแกรมเป็น แต่เพราะการเข้าถึงลูกค้าเพื่อเรียนรู้ปัญหาและอยู่กับลูกค้าจนกว่าปัญหานั้นจะแก้สำเร็จที่เป็นโอกาสให้ ความรู้ ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์และธุรกิจถูกพัฒนาขึ้นเร็วกว่าคนอื่น จนเกิดเป็นธุรกิจซอฟท์แวร์และพัฒนามาจนเป็นบริษัทไมโครซอฟท์อย่างในทุกวันนี้
สำหรับบริษัทของผู้เขียนนั้น The New York Times เป็นลูกค้าในสหรัฐอเมริการายแรกของบริษัทที่ติดต่อเราเข้ามา ถ้าตอนนั้นบริษัทพวกเราไม่ได้ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ผมคิดว่า The New York Times อาจจะไม่เลือกเรา เพราะด้วยความซับซ้อนทางกฎหมาย ความลำบากในการทำงานร่วมกัน และการรับฟังและแก้ปัญหาให้ลูกค้าจำเป็นต้องใช้ความรวดเร็ว ดังนั้นถ้าตลาดที่เราต้องการ(และต้องการเรา)นั้นอยู่ที่ไหน เราต้องตามเข้าไปให้ใกล้ชิดลูกค้าให้มากที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราทำงานได้โดยไม่มีปัญหา และหากเกิดปัญหาขึ้นก็สามารถลงมือจัดการกับปัญหาได้อย่างรวดเร็วครับ
ทุกเช้าที่ผมอยู่ที่นี่ ผมจะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่า มีความตื่นเต้นกำลังรอเราอยู่ รู้สึก Thankful ที่เราได้มีเพื่อนร่วมงานที่ดี ผมเริ่มทุกเช้าด้วยการไปออกกำลังกายที่ยิมและเริ่มคิดวางแผนว่าวันนี้อยากจะทำอะไรให้สำเร็จบ้าง และขับรถไปบริษัทสบาย ๆ ก่อนที่เริ่ม Stand Up Meeting กับเพื่อนร่วมงานที่โฟกัสกับการทำงานให้สำเร็จด้วยกัน
สภาวะที่ให้ความปลอดโปล่งทางความคิดแบบนี้ ผมรู้สึกได้ตั้งแต่ทำงานที่กูเกิ้ลแล้วว่าบทสนทนาของเราจะเป็นไปในทางว่า วันนี้เราจะแก้ปัญหาอะไรยังไง ในโลกเทคโนโลยีมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง โลกภายนอกใครพัฒนาอะไรไปถึงไหนแล้ว หรือแม้แต่ตอนกินข้าวที่โรงอาหารหรือร้านกาแฟ เราก็ยังได้ยินโต๊ะข้าง ๆ คุยเกี่ยวกับเรื่อง Startup หรือพอเวลาไปข้างนอก การรับฟังข่าวสารทางวิทยุ โทรศัพท์ ป้ายโฆษณา บัตรเชิญไปงานพบปะสรรสรรค์ต่าง ๆ ก็มีแต่เรื่องที่น่าสนใจและไปในทางบวก (Positive) มากกว่าด้านลบ
ในทางกลับกัน ทุกครั้งที่ผมเดินทางกลับประเทศไทย จะสังเกตว่าตื่นเช้ามาก็ต้องมารับฟังข่าวลากคนไปกราบรถ ดาราตบแย่งผู้ชาย หมอดูมาคอยฟังธงชีวิตคนอื่นที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับตัวเอง เวลามีเรื่องอะไรในสังคมให้พูด เราก็ได้ยินเรื่องเดียวกันไปกันทั้งเมือง ตั้งแต่ที่ทำงานไปจนถึงภายในบ้าน ผมไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรรับรู้สังคมรอบตัวนะ แต่การนำเสนอเรื่องเหล่านี้จนเป็นเรื่องปกติแบบที่ไทยเป็นอยู่ตอนนี้มันก็เยอะไปนิดนึง (เห็นด้วยมะ)
ชีวิตนี้มันสั้นนะ ผมคิดว่าเราไม่ควรเสียเวลากับเรื่องที่ไม่จำเป็น หรือเรื่องที่ทำให้จิตใจเราบั่นทอนอ่านะครับ ถ้าตัดเรื่องพวกนั้นออกไปได้ ชีวิตแต่ละวันเราจะมีค่าขึ้นมามหาศาลเลยหละ เอาจริง ๆ นะ
การทำ Tech Startup ให้ออกมาดีนั้น มีความจำเป็นต้องใช้พลังบวกเป็นอย่างมาก เพราะมีความจำเป็นต้องพัฒนาทั้งตัวเอง ทีมงาน และภาพรวมธุรกิจอยู่สม่ำเสมอเพื่อให้แข่งขันกับคู่แข่งทั่วโลกได้ ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ผู้ที่ทำงานด้านนี้จึงควรต้องปรับตัวทั้งทางกายและทางใจเพื่อหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่เป็นตัวถ่วงในการพัฒนาธุรกิจออกไปให้หมด เพื่อลด Overhead และเปิดพื้นที่ให้มีเวลาและพลังงานไปพัฒนางานมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์รวมของบริษัทชั้นนำทางด้านนวัตกรรม ไม่ต้องแปลกใจว่าที่นี่จะเต็มไปด้วยคนเก่ง และผลที่ตามมาคือ ความเครียดและความกดดันที่นี่เลยมีสูงพอสมควร แต่ก็ไม่ได้สูงขนาดลำบากน้ำตานองนะ แค่ต้องรู้จักปรับตัวให้ทันโลกและพัฒนาตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งถ้าผ่านบททดสอบตรงนี้ไปได้ Career Path ของท่านที่นี่ก็จะไปได้ไกลแบบหยุดไม่อยู่เลยครับ
และเนื่องจากว่าทางเราโชคดีที่เป็นบริษัทไทยหนึ่งในไม่กี่รายที่ตั้งอยู่ใน Silicon Valley และเรารู้สึกอยากสนับสนุนนักพัฒนาไทยให้มีโอกาสมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นถ้าหากมีใครสนใจอยากจะมาทำงานที่นี่ทางเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งนะครับ ทาง OmniVirt ก็ยังต้องการนักพัฒนาฝีมือระดับเทพมาร่วมกันผลักดันผลงานของคนไทยสู่สายตาชาวโลกอยู่นะครับ (ส่งข้อความเข้ามาได้ทาง Facebook)
ความหวังสูงสุดของพวกเราคือ ถ้ามีนักพัฒนาเก่ง ๆ ได้มาสัมผัสชีวิตที่นี่เยอะ ๆ ถึงวันนึงตอนที่ทุกคนกลับไทยไป จะได้ไปร่วมพัฒนาสังคมและคุณภาพตลาดด้านเทคโนโลยีในเมืองไทยร่วมกันได้ครับ =)
Brad Phaisan CEO of OmniVirt — Leading Virtual Reality Advertising Platform. www.omnivirt.com.
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด