Thematic Investment การลงทุนในโลกแห่งอนาคต | Techsauce

Thematic Investment การลงทุนในโลกแห่งอนาคต

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาการลงทุนใน “Thematic Themes” คือหนึ่งในรูปแบบของการเลือกกลุ่มธุรกิจในการลงทุนที่ถูกพูดถึงและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงปี 2020 ที่ราคาหุ้นบริษัทในกลุ่ม Thematic ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน จนเป็นที่สนใจของนักลงทุนแทบทุกคน

Thematic Themes คือการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างของเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ผ่านปัจจัยที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่าง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากรศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

Morgan Stanley Capital International หรือที่รู้จักกันในชื่อ MSCI บริษัทชั้นนำของโลกที่จัดทำดัชนีราคาหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั่วโลกและยังมีการจัดทำดัชนีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ได้มีการนิยามจุดเด่นของการลงทุนแบบ Thematic Investing ว่ามีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากการลงทุนปกติดังนี้

  1. A Changing World: การไม่ยึดติดในสิ่งที่มีอยู่ปัจจุบัน ยอมรับและเปิดใจศึกษาการเปลี่ยนแปลงของทิศทางของโลกในปัจจัยที่สามารถควบคุมได้และควบคุมไม่ได้
  1. Mega Trends: การคัดเลือกธุรกิจที่มีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบและเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม พฤติกรรม ธุรกิจ วัฒนธรรม และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคม
  1. Sector Independent: การไม่ยึดติดกับการที่ธุรกิจจำเป็นต้องจัดกลุ่มอยู่ในการจัดกลุ่มของอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจแบบเดิม ๆ เช่น ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจเทคโนโลยี ธุรกิจพลังงาน
  1. Security Selection: การคัดเลือกธุรกิจด้วยความรอบคอบผ่านการวิเคราะห์ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล ระยะเวลาในการพัฒนา จำนวนผู้ใช้งานหรือหลักฐานการทดสอบที่สามารถพิสูจน์ได้

เป็นเรื่องยากที่จะสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตดังนั้น หนึ่งในขั้นตอนการค้นหาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Thematic Themes คือการต่อยอดจากการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในปัจจุบัน เช่น

Disruptive Technology เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใหม่ ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นและสร้างความเปลี่ยนแปลง หรือแทนที่การดำเนินธุรกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมีนัยยะสำคัญ จนสามารถแทนที่สินค้าและบริการเดิม หรือเทคโนโลยีเดิมได้อย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างของ Disruptive Technology ที่กระทบต่ออุตสาหกรรมในปัจจุบัน เช่น

  1. IoT หรือ Internet of Things ซึ่งเป็นการนำสิ่งของต่าง ๆ รอบตัวมาพัฒนาให้สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเชื่อมต่อผ่าน Sensor ที่อยู่ภายในอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้สามารถสื่อสาร สั่งงาน และเก็บข้อมูลได้ดีขึ้น และต่อยอดสู่สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายอย่างเช่น
  • บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) การสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านระบบเสียง รวมถึงตรวจสอบข้อมูลการใช้งานเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
  • โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) การเชื่อมต่อสายพานการผลิต ทำให้สามารถเก็บข้อมูล ประมวลผลสั่งการเครื่องจักรจากระยะไกลได้
  • เมืองอัจฉริยะ (Smart City) การเชื่อมต่อระบบสาธารณูปโภคภายในเมืองทั้ง ระบบไฟฟ้า ประปา และการจราจรผ่านระบบศูนย์กลางจากระยะไกล
  1. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence หรือ Al ซึ่งเป็นการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการเรียนรู้ข้อมูลจำนวนมากให้มีสติปัญญาคล้ายคลึงกันกับมนุษย์ผ่านการทำ Machine Learning
  • คาดการณ์ความต้องการของลูกค้า (Customer Insight) ผ่านการศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เพื่อคาดการณ์และนำเสนอสินค้าและบริการ รวมถึงแสดงเนื้อหาที่คาดว่าจะสนใจ อย่างการทำงานของ Facebook, Youtube และ Tiktok
  • ผู้ช่วยส่วนบุคคล (Personal Assistant) Chat Bot ที่สามารถให้คำแนะนำ ตอบคำถาม และยังช่วยคนทำงานอย่างการเขียนโปรแกรม บทความ และค้นหาไอเดียอย่าง ChatGPT
  • การสร้างภาพด้วย AI (AI Drawing) การใช้ AI ที่มีการเรียนรู้การวาดภาพ การใช้สีจากการศึกษารูปภาพจำนวนมากในฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการวาดภาพจากคำอธิบายที่ต้องการอย่าง Midjourney และ DALL·E 2
  1. ยานยนต์แห่งอนาคต หรือ Future Mobility การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกและมีผลกระทบอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของมนุษย์
  • รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV Car) ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ไฟฟ้าแทนการใช้เครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้แบบสันดาป โดยใช้พลังงานจากไฟฟ้าแทนการใช้พลังงานจากน้ำมัน
  • ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicle) เทคโนโลยียานยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีคนควบคุม

นอกจากนี้ยังมี Mega Trends ที่น่าสนใจและมีแน้วโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจ การดำเนินชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น E-Commerce, Healthcare, Games & Esports, Cloud Computing, Robotics, Fintech, Travel Tech, Clean Energy, Metaverse และ Cybersecurity

สุดท้ายแล้วแนวคิดการวิเคราะห์การอุตสาหกรรมกลุ่ม Thematic มีความเสี่ยงสูงเพราะเป็นการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตจึงมักนิยมใช้การวิเคราะห์แบบ Top Down ที่แปลว่า วิเคราะห์จากบนลงล่าง มองจากภาพใหญ่ที่สุดลงมา ที่ภาพเล็ก เพื่อมองถึงส่วนประกอบที่ทำให้ Mega Trends สามารถพัฒนาและใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น ยานยนต์แห่งอนาคต หรือ Future Mobility ที่ต้องมีการวิเคราะห์แบ่งย่อยไปยังส่วนประกอบของเทคโนโลยีอย่างเช่น

  • Batteries เช่น ขนาด ระยะเวลาการชาร์จ จำนวนครั้งที่สามารถใช้งานได้ และต้นทุนการผลิต
  • Smart Mobility ยานยนต์ไร้คนขับ ระบบการสั่งการผ่าน Smart Device ระบบการสื่อสารระหว่างยานยนต์ กับ ยานยนต์
  • Vehicle Automation ระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระบบตรวจจับสิ่งแวดล้อม ระบบคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม

อ้างอิง : บิทคับ อินฟินิตี้ Bitkub Infinity


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สองวิธีเรียกคืนอำนาจบริหารจากบริษัทตัวเอง ถกประเด็นน่ารู้จากซีรีส์ Queen of tears

เจาะลึกประเด็นซีรีส์ Queen of tears การต่อสู้แย่งชิงอำนาจบริหาร Queens Group กำลังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในความเป็นจริงแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว ตระกูลฮงจะกลับมายึดคืนอำนาจบริหาร ...

Responsive image

17 เรื่อง AI ต้องรู้ จากรายงาน AI Index 2024

Techsauce ได้สรุป 17 ประเด็นสำคัญจากรายงาน AI Index Report 2024 ซึ่งจัดทำโดย Stanford Institute for Human-Centered Artificial Intelligence (HAI) ที่รวบรวมประเด็นต่างๆ ของปัญญาประดิ...

Responsive image

แนะเทรนด์ลงทุนในสตาร์ทอัพปี 2024 พร้อมช่องทางใหม่ในการระดมทุนจากงาน KATALYST TALK MEETUP #3

บทความที่เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพควรอ่านเพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการเผชิญความท้าทายในปีนี้ จากการรับฟังภายในงาน KATALYST TALK MEETUP #3 ‘Navigating the Startup Challenges in 2024 and Beyond’...