ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจและถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดคือการกลับมาของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ในฐานะประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกกันว่า “Trump 2.0” ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายในยุค Trump 2.0 ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาเองเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมไปยังทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศกำลังพัฒนาเช่นประเทศไทย
ในงานเสวนาพิเศษ Trump 2.0 วิกฤติหรือโอกาสววน.ไทย กับ Session Trump 2.0 โอกาสและความท้าท้ายต่อระบบ ววน. โดย ผศ.ดร อาร์ม ตั้งนิรันดร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิส่งเสริมการวิจัยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) ได้วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับไทย พร้อมทั้งเสนอแนวทางของไทยในการปรับตัว
ก่อนที่จะเจาะลึกถึงผลกระทบของ Trump 2.0 สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจบริบทของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม การแข่งขันระหว่างประเทศต่างๆ ทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างมาก โดยมีประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อน
จีนได้ทุ่มงบประมาณมหาศาลในการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น AI, Quantum Computing, Semiconductor (IC), Fusion Power, High-end Materials, Smart Manufacturing, Robotics, ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), แบตเตอรี่ และเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงการสร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่เชื่อมต่อด้วย Internet of Things (IoT)
สหรัฐอเมริกาเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้เพิ่มงบประมาณให้กับ National Science Foundation (NSF) ถึง 12% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และลงทุนในอุตสาหกรรมเหล่านี้เช่นกัน นอกจากนี้ ยุโรปก็มีแผน Horizon Europe ที่ส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในขณะที่เอเชียก็มีการลงทุนในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง โดยญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ต่างก็มีนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง
การกลับมาของ Trump ในรูปแบบ Trump 2.0 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของ Globalization ดังต่อไปนี้
Globalisation 1.0 (ก่อนปี 2018): เป็นยุคที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลกแห่กันไปตั้งโรงงานในจีน เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และส่งออกสินค้าไปยังทั่วโลก ทำให้จีนกลายเป็น “โรงงานของโลก”
Globalisation 2.0 (หลังปี 2018): สงครามการค้าที่เริ่มต้นโดย Trump ได้ทำให้บริษัทต่างๆ เริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ เช่น เม็กซิโก เวียดนาม และไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจากสหรัฐอเมริกา
Globalisation 3.0 (Trump 2.0): เน้นการพึ่งพาตนเองและการแบ่งแยกตลาดมากขึ้น โดยสหรัฐอเมริกาจะพยายามดึงดูดให้บริษัทต่างๆ กลับมาผลิตสินค้าในประเทศ ในขณะที่จีนก็จะมุ่งเน้นการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดภายในประเทศ
การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศไทยหลายข้อได้แก่
การเข้าถึงตลาดสหรัฐอเมริกาที่ยากขึ้น: นโยบายกีดกันทางการค้าของ Trump อาจทำให้สินค้าไทยส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาได้ยากขึ้น
การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดจีน: บริษัทไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากบริษัทจีนที่มุ่งเน้นการทำตลาดภายในประเทศ
การเข้ามาของสินค้าจีนราคาถูก: การที่สินค้าจีนไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาได้ อาจทำให้สินค้าเหล่านั้นทะลักเข้ามาในตลาดไทยและอาเซียน ทำให้บริษัทไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น
การย้ายฐานการผลิตออกจากจีน: สงครามการค้าอาจทำให้บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังประเทศไทย ทำให้เกิดการลงทุนและสร้างงาน
การพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง: การเข้าถึงเทคโนโลยีจากต่างประเทศที่ยากขึ้น อาจกระตุ้นให้ไทยต้องลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองมากขึ้น
ความร่วมมือในระดับภูมิภาค: ไทยอาจหันไปกระชับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับประเทศในอาเซียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งในระดับภูมิภาค
สิ่งที่น่ากังวลคือ Trump 2.0 ไม่ได้จำกัดเป้าหมายเฉพาะจีนเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุกประเทศที่สหรัฐฯ มองว่า "เอาเปรียบ" ไม่ว่าจะเป็นมิตรประเทศอย่างสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ประเทศไทยก็ตาม
เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นจาก Trump 2.0 ได้ รัฐบาลและภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้:
เพิ่มการลงทุนใน R&D อย่างมีเป้าหมาย: รัฐบาลควรเพิ่มงบประมาณด้านวิจัยและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการลงทุนในสาขาที่ประเทศไทยมีศักยภาพ เช่น เกษตรกรรม (เทคโนโลยีการเกษตรแม่นยำ, อาหารแห่งอนาคต), การท่องเที่ยว (แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวอัจฉริยะ, การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ), และเทคโนโลยีชีวภาพ (ยา, วัคซีน, การวินิจฉัยโรค) (สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) รายงานว่า ประเทศไทยมีการลงทุนด้าน R&D คิดเป็นเพียง 1.1% ของ GDP เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ)
ส่งเสริมความร่วมมือแบบบูรณาการ: รัฐบาลควรสร้างกลไกที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อให้การวิจัยและพัฒนาตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง (เช่น การจัดตั้ง Consortium ที่ประกอบด้วยนักวิจัย, ผู้ประกอบการ, และนักลงทุน)
สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและผู้ประกอบการ: รัฐบาลควรปรับปรุงกฎระเบียบที่ล้าสมัย ลดอุปสรรคในการทำธุรกิจ และสร้างแรงจูงใจทางภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (เช่น การจัดตั้ง Sandbox สำหรับการทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ)
พัฒนาทักษะแห่งอนาคต: รัฐบาลควรปฏิรูปการศึกษาและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม, และคณิตศาสตร์ (STEM) ที่จำเป็นต่อการทำงานในยุคดิจิทัล (เช่น การส่งเสริม Coding ในโรงเรียน, การสร้างหลักสูตรที่เน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ)
สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ: ประเทศไทยควรกระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้, เทคโนโลยี, และสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุน
การกลับมาของ Trump ในรูปแบบ Trump 2.0 เป็นความท้าทายและความเสี่ยงที่ประเทศไทยต้องเผชิญ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศไทยต้องปรับตัวและวางยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อให้สามารถคว้าโอกาสและรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว หากประเทศไทยสามารถทำได้ ประเทศก็จะสามารถก้าวข้ามความท้าทายและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
* เนื้อหาอ้างอิงจาก Session Trump 2.0 โอกาสและความท้าท้ายต่อระบบ ววน.จากงานเสวนาพิเศษ Trump 2.0 วิกฤติหรือโอกาสววน. ไทย โดย ผศ.ดร อาร์ม ตั้งนิรันดร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิส่งเสริมการวิจัยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.)
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด