ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้น AI แต่มีสิ่งหนึ่งที่กำลังกลายเป็นคอขวดสำคัญนั่นคือ พลังงาน ความต้องการไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นมหาศาล ทำให้เทคโนโลยีที่เราเคยกลัวอย่างนิวเคลียร์ กลับมาเป็นความหวังใหม่ และบริษัทที่กำลังถูกจับตามองมากที่สุดในวินาทีนี้คือ Radiant Nuclear สตาร์ทอัพที่ตั้งเป้าจะผลิตเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบ Mass Production ครั้งแรกของโลก

เรื่องราวของ Radiant เริ่มต้นขึ้นในปี 2020 โดย Doug Bernauer (CEO) และ Bob Urberger (CTO) ทั้งคู่คืออดีตวิศวกรระดับหัวกะทิจาก SpaceX ของ Elon Musk โดยเฉพาะ Bernauer ที่ใช้เวลา 12 ปีในการพัฒนาโครงการสำคัญอย่างจรวด Grasshopper, Falcon 9 ไปจนถึงโปรเจกต์ข้างเคียงอย่าง Hyperloop และ The Boring Company
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ Bernauer ได้รับโจทย์ให้หาวิธีสร้างพลังงานสำหรับอาณานิคมบนดาวอังคาร เขาพบว่าการใช้โซลาร์เซลล์บนดาวอังคารต้องใช้พื้นที่มหาศาลขนาดเท่าสนามฟุตบอล 3 สนาม ซึ่งไม่ตอบโจทย์ในแง่การขนส่งและวิศวกรรมอวกาศ เขาจึงเริ่มหันมาศึกษา Nuclear Fission และพบว่า Small Modular Reactors (SMRs) ซึ่งก็คือเทคโนโลยีนิวเคลียร์ยุคใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ข้อจำกัดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิมที่มีขนาดใหญ่เทอะทะ ใช้เงินลงทุนสูง และใช้เวลาก่อสร้างนานหลายสิบปี เป็นคำตอบที่ใช่ที่สุด
Bernauer หลงใหลในนิวเคลียร์จนกลายเป็นความหมกมุ่น เขาตระหนักว่าถ้าเทคโนโลยีนี้สามารถขับเคลื่อนชีวิตบนดาวอังคารได้ มันย่อมสามารถสร้างพลังงานที่สะอาดและเชื่อถือได้บนโลกเช่นกัน เขาจึงตัดสินใจลาออกมาตั้ง Radiant เพื่อเปลี่ยนนิวเคลียร์ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้

นวัตกรรมที่เป็นหัวใจหลักของบริษัทมีชื่อว่า Kaleidos ซึ่งเป็นเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดจิ๋วหรือ Microreactor ที่ถูกออกแบบมาให้มีความคล่องตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยตัวเครื่องทั้งหมดจะถูกบรรจุลงในตู้คอนเทนเนอร์ขนาดมาตรฐาน
ทำให้สามารถขนส่งผ่านทางรถบรรทุก เรือ หรือแม้แต่เครื่องบินขนส่งทางทหารอย่าง C-17 ได้อย่างง่ายดาย ระบบนี้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1 Megawatt และยังให้พลังงานความร้อนได้อีก 1.9 Megawatt ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในโรงพยาบาล ศูนย์ข้อมูล หรือแม้แต่ระบบกลั่นน้ำทะเลในพื้นที่ขาดแคลน โดยมีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่การทำงานแบบอิสระผ่านซอฟต์แวร์ SimEngine ที่ใช้เทคโนโลยี Digital Twin ในการจำลองและควบคุมการทำงาน จึงไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอดเวลา
ในแง่ของความปลอดภัย Radiant เลือกใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า TRISO ซึ่งเป็นเม็ดเชื้อเพลิงขนาดเล็กเท่าเมล็ดฝิ่นที่เคลือบด้วยคาร์บอนและเซรามิกหลายชั้น ทำให้มีความทนทานต่อความร้อนสูงมากจนแทบจะไม่มีโอกาสเกิดการหลอมละลายได้เลย
นอกจากนี้ระบบยังเปลี่ยนจากการใช้น้ำในการหล่อเย็นมาเป็นก๊าซฮีเลียม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการรั่วไหลและการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และด้วยระบบปิดแบบ CO2 Brayton Cycle ทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลงแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง พร้อมใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 5 ปีก่อนจะถึงรอบการเติมเชื้อเพลิงใหม่ที่โรงงานกลางของบริษัท
เป้าหมายหลักของ Radiant ในระยะแรกไม่ใช่การแข่งกับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่บนกริด แต่เป็นการเข้าไปแทนที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลในพื้นที่ห่างไกลและจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น ฐานทัพทหารที่ต้องการความมั่นคงทางพลังงานสูงโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่ขัดแย้ง หรือศูนย์ข้อมูล Data Center ที่ต้องการพลังงานสำรองที่สะอาดและเชื่อถือได้มากกว่าแบตเตอรี่หรือเครื่องปั่นไฟแบบเดิม
นอกจากภาคธุรกิจแล้ว Kaleidos ยังถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจบรรเทาสาธารณภัย ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติจนระบบไฟฟ้าหลักเสียหาย เตาปฏิกรณ์นี้สามารถถูกส่งทางเครื่องบิน C-17 เข้าไปในพื้นที่และเริ่มจ่ายไฟ 1 MW รวมถึงพลังงานความร้อนสำหรับระบบกลั่นน้ำทะเลหรือฮีตเตอร์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ความสามารถในการให้พลังงานที่สะอาดและต่อเนื่องนี้เองที่ทำให้ Radiant กลายเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Decarbonization ของโลก โดยเฉพาะในภาคส่วนที่พลังงานหมุนเวียนแบบไม่คงที่อย่างแสงอาทิตย์และลมยังเข้าไม่ถึง

ความสำเร็จของ Radiant สะท้อนออกมาผ่านเม็ดเงินลงทุนล่าสุดที่เพิ่งระดมทุนได้เพิ่มอีกกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 1 หมื่นล้านบาท กลายเป็นบริษัทยูนิคอร์นที่น่าจับตามองที่สุดรายหนึ่ง เงินทุนก้อนใหญ่นี้จะถูกนำไปใช้สร้างโรงงานผลิตที่รัฐเทนเนสซี ซึ่งจะไม่ได้เป็นแค่โรงงานประกอบ แต่จะเป็นโรงงานที่ผลิตเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ออกมาเป็นล็อตใหญ่ ๆ ครั้งแรกของโลก
ก้าวต่อไปที่สำคัญที่สุดคือปี 2026 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Radiant ตั้งเป้าจะเริ่มเดินเครื่องทดสอบจริงด้วยเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในห้องแล็บระดับชาติของสหรัฐฯ หากการทดสอบนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี มันจะเป็นการยืนยันว่าเทคโนโลยีที่เกิดจากไอเดียที่จะไปอยู่บนดาวอังคาร ได้กลับมากลายเป็นพลังงานสะอาดที่จับต้องได้จริง และจะเปลี่ยนภาพจำของนิวเคลียร์ให้กลายเป็นแหล่งพลังงานที่ปลอดภัยและอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่เราคุ้นเคย
อ้างอิง: techcrunch, research.contrary, latimes
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด