
Starlink แผนกสำคัญของบริษัท Space Exploration Technologies Corp. (SpaceX) เป็นผู้ดำเนินการกลุ่มดาวเทียมวงโคจรต่ำของโลก (Low Earth Orbit - LEO) ที่ครอบคลุมที่สุดในโลก เครือข่ายนี้กำลังพลิกโฉมภูมิทัศน์การสื่อสารโทรคมนาคมอย่างถึงรากถึงโคน ด้วยการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่สามารถรองรับแอปพลิเคชันที่ต้องการความหน่วงต่ำ เช่น เกมออนไลน์, การสตรีมมิ่ง และวิดีโอคอล เป้าหมายสูงสุดของ Elon Musk สำหรับ Starlink คือการสร้างรายได้มหาศาลเพื่อนำไปสนับสนุนเป้าหมายการเดินทางระหว่างดวงดาวของ SpaceX จากจุดเริ่มต้นที่ดูบ้าบิ่นสู่บทบาทปัจจุบันในฐานะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลก การติดตั้งใช้งานอย่างรวดเร็วของ Starlink ได้ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์
โครงการ Starlink ถูกประกาศต่อสาธารณะในเดือนมกราคม 2015 บนพื้นฐานวิสัยทัศน์อันทะเยอทะยานในการสร้างระบบอินเทอร์เน็ตใหม่ในอวกาศ ในเวลานั้น SpaceX ได้ยื่นเอกสารต่อหน่วยงานกำกับดูแลระหว่างประเทศ โดยระบุแผนการสำหรับดาวเทียมวงโคจรที่ไม่ใช่วงโคจรค้างฟ้า (NGSO) เกือบ 4,000 ดวง หลักการสำคัญของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมคือการส่งข้อมูลผ่านสุญญากาศในอวกาศ ซึ่งสัญญาณเดินทางได้เร็วกว่าในสายไฟเบอร์ออปติกภาคพื้นดินประมาณ 47% โดยระยะการพัฒนาเริ่มขึ้นในปี 2016
เครือข่ายขยับเข้าสู่ความเป็นจริงในวงโคจรอย่างรวดเร็วด้วยการปล่อยดาวเทียมทดสอบ 2 ดวงแรก ชื่อ Tintin A และ Tintin B ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 และระยะการติดตั้งที่สำคัญเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2019 เมื่อ SpaceX ปล่อยดาวเทียมปฏิบัติการชุดใหญ่ชุดแรกจำนวน 60 ดวง การปล่อยครั้งใหญ่นี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักดาราศาสตร์ทันที เนื่องจากความสว่างของวัตถุในวงโคจรและเส้นแสงที่ปรากฏในภาพถ่ายท้องฟ้ายามค่ำคืน อย่างไรก็ตาม การบริการยังคงรุดหน้าต่อไป โดยเริ่มเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์สำหรับลูกค้าที่จ่ายเงินกลุ่มแรกเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2020 ตามด้วยการเปิดรับจองล่วงหน้าสำหรับสาธารณชนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในเดือนกุมภาพันธ์ 2021
ความได้เปรียบในการแข่งขันของ Starlink มาจากการเลือกทางสถาปัตยกรรม การใช้ดาวเทียมขนาดเล็กนับพันดวงในวงโคจรต่ำของโลก (LEO) ยานอวกาศเหล่านี้มักโคจรสูงจากพื้นโลกเพียงประมาณ 550 กิโลเมตร ระยะที่ใกล้กว่ามากเมื่อเทียบกับดาวเทียมค้างฟ้าแบบดั้งเดิมที่โคจรห่างออกไปเกือบ 36,000 กิโลเมตร คือปัจจัยชี้ขาดที่ช่วยลดค่าความหน่วงลงอย่างมหาศาล Starlink ตั้งเป้าที่จะให้บริการมาตรฐานด้วยค่าความหน่วงเฉลี่ยที่เสถียรในระดับ 20 มิลลิวินาที (ms) ข้อมูลประสิทธิภาพล่าสุดระบุว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการบรรลุเป้าหมายนี้ โดยค่าความหน่วงเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกาลดลงเหลือ 33 ms ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน และค่าความหน่วงสูงสุดในกรณีแย่ที่สุดลดลงเหลือต่ำกว่า 65 ms
ความซับซ้อนทางเทคโนโลยียังขยายไปถึงตัวดาวเทียมด้วย ดาวเทียมรุ่นใหม่ V2 Mini ถือเป็นการก้าวกระโดดด้านขีดความสามารถ โดยมีน้ำหนักประมาณ 800 กิโลกรัม (1,760 ปอนด์) เทียบกับดาวเทียมรุ่นแรก V1.0 ที่หนัก 260 กิโลกรัม (573 ปอนด์) ยานอวกาศสมัยใหม่เหล่านี้ใช้เครื่องยนต์ขับดันฮอลล์ที่ใช้ก๊าซอาร์กอน ที่พัฒนาโดย SpaceX เพื่อการเคลื่อนที่ในวงโคจรอย่างแม่นยำ ซึ่งให้แรงขับมากกว่ารุ่นแรกถึง 2.4 เท่า นอกจากนี้ ในขณะที่ดาวเทียมรุ่นก่อนต้องพึ่งพาสถานีภาคพื้นดินเพื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหลัก แต่รุ่นใหม่ใช้การเชื่อมต่อด้วย 'Laser links' เพื่อสร้างเครือข่ายแบบ 'Mesh network' ในอวกาศ การเชื่อมต่อข้ามด้วยเลเซอร์นี้ช่วยให้ดาวเทียมสื่อสารกันเองได้โดยตรงด้วยความเร็วแสง ทำให้ครอบคลุมทั่วโลกและช่วยให้เครือข่ายไม่ต้องพึ่งพาเกตเวย์ภาคพื้นดินในการส่งข้อมูล
เส้นทางความสำเร็จเชิงพาณิชย์ของ Starlink ถูกอธิบายว่าเป็นกราฟแบบก้าวกระโดดภายในเดือนธันวาคม 2022 บริการนี้มีผู้ใช้งานจริง 1 ล้านราย ตัวเลขนี้ยังคงพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องจนแตะกว่า 6 ล้านรายทั่วโลกในเดือนมิถุนายน 2025 และในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2025 SpaceX ยืนยันว่ามีลูกค้าใช้งานจริงเกิน 8 ล้านราย ทั่วโลก ครอบคลุมกว่า 150 ประเทศและเขตการปกครอง ด้วยดาวเทียมเกือบ 9,000 ดวง ในวงโคจร ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2025 Starlink จึงถือเป็นกลุ่มดาวเทียมที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการติดตั้งมา
Starlink ประสบความสำเร็จในการขยายตัวเกินกว่าแค่การเชื่อมต่อตามบ้านพักอาศัย จุดเด่นหลักของเครือข่ายคือการเข้าถึง โดยเป็นเส้นเลือดใหญ่ในพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเคยเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทางเศรษฐกิจหรือโลจิสติกส์ เช่น ฟาร์มปศุสัตว์ห่างไกล หรือเขตโรงเรียนในชนบท ปัจจุบันบริการมีแผนที่ยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้ตามบ้าน, ผู้ใช้ที่เคลื่อนที่ (Roam), และแผน Priority สำหรับความต้องการสูงที่เจาะกลุ่มธุรกิจ, การเดินเรือ และการบิน ตัวอย่างเช่น การศึกษาประสิทธิภาพบนเที่ยวบินเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลบอลติก พบว่าเครือข่ายรองรับความหน่วงเฉลี่ยต่ำถึง 23 ms และสตรีมวิดีโอ 4K ได้สำเร็จ ประสิทธิภาพสูงนี้ทำให้เกิดการใช้งานจริงในธุรกิจการบินอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จาก Qatar Airways ที่เปิดตัวเครื่องบิน Boeing 777 ลำแรกที่ติดตั้ง Starlink ในเดือนตุลาคม 2024
ในด้านอุปกรณ์ผู้ใช้ SpaceX ยังได้แนะนำเสาอากาศ Starlink Mini ขนาดกะทัดรัด อุปกรณ์นี้มีน้ำหนักเพียง 1 ใน 3 และขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของรุ่นมาตรฐาน มีเราเตอร์ Wi-Fi ในตัว และให้ความเร็วดาวน์โหลดเกิน 100 Mbit/s
ขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่ล้ำลึกของ Starlink ทำให้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทั้งพลเรือนและการทหาร ซึ่งยกระดับบทบาทของมันบนเวทีภูมิรัฐศาสตร์ เครือข่ายนี้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการป้องกันที่จำเป็นสำหรับ ยูเครน หลังจากการรุกรานของรัสเซีย โดยช่วยรักษาการสื่อสารที่สำคัญท่ามกลางความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม บทบาทนี้ยังเผยให้เห็นความเปราะบางด้านความมั่นคงของชาติจากการพึ่งพาสินทรัพย์สำคัญระดับโลกที่ควบคุมโดยเอกชนรายเดียว
ประเด็นนี้ถูกตอกย้ำอย่างชัดเจนเมื่อ Elon Musk ปฏิเสธคำขอของยูเครนในการเปิดสัญญาณ Starlink เพื่อโจมตีใกล้กับไครเมียที่รัสเซียยึดครอง สถานการณ์นี้ทำให้ผู้สังเกตการณ์รายหนึ่งในปี 2023 ให้ความเห็นว่า "แทบไม่เคยมีมาก่อนที่พลเรือนจะกลายเป็นผู้ตัดสินในสงครามระหว่างชาติ" ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอิทธิพลของ Musk นั้นเทียบเท่ากับรัฐชาติ
เพื่อตอบสนองต่อการพึ่งพาทางทหารนี้ SpaceX ได้ประกาศเปิดตัว Starshield ในเดือนธันวาคม 2022 ซึ่งเป็น Starlink เวอร์ชันแยกสำหรับรัฐบาลโดยเฉพาะ โดยรวมความต้องการทางทหาร เช่น ความสามารถในการต้านทานการรบกวนสัญญาณ (Anti-jam) และการเข้ารหัสขั้นสูง นอกจากนี้ สมาชิกสภาคองเกรสในสหรัฐฯ ได้เริ่มการสอบสวนข้อกล่าวหาที่ว่า รัสเซีย เข้าถึงเทคโนโลยี Starlink ผ่านประเทศที่สาม ซึ่งอาจเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
ขนาดของ Starlink ยังจำเป็นต้องมีโซลูชันทางเทคโนโลยีสำหรับความยั่งยืนในอวกาศและความกังวลทางดาราศาสตร์ ความหนาแน่นของดาวเทียม Starlink ทำให้ถูกระบุว่าเป็นแหล่งความเสี่ยงการชนกันที่ใหญ่ที่สุดใน LEO ระหว่างเดือนธันวาคม 2023 ถึงพฤษภาคม 2025 ดาวเทียม Starlink ได้ดำเนินการหลบหลีกการชนประมาณ 50,000 ครั้ง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดาวเทียมถูกออกแบบให้ 'เผาไหม้หมดไป' (Fully demisable) เมื่อกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ดาวเทียมที่เสียหรือหมดอายุการใช้งาน (ประมาณ 5 ปี) จะถูกบังคับให้ตกลงสู่โลกโดยใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า
เพื่อจัดการกับข้อโต้แย้งจากนักดาราศาสตร์เรื่องการรบกวนของแสง SpaceX ใช้มาตรการต่างๆ เช่น การเคลือบสารพิเศษและการปรับท่าทางในวงโคจร เทคนิคที่เรียกว่า 'Terminator Tracking' เกี่ยวข้องกับการหันแผงโซลาร์เซลล์หนีจากดวงอาทิตย์เมื่อข้ามเส้นแบ่งเขตวัน-คืน เพื่อลดการมองเห็นแสงสะท้อนจากพื้นโลก แม้ว่าการดำเนินการนี้จะต้องแลกมาด้วยการลดพลังงานที่ใช้ได้ของดาวเทียมลง 25% ก็ตาม
เทคโนโลยีที่สร้างการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดซึ่งกำลังถูกนำมาใช้คือบริการ Direct-to-Cell (DTC) ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อให้การเชื่อมต่อโดยตรงกับโทรศัพท์มือถือ 4G LTE มาตรฐานที่ไม่ต้องดัดแปลง และอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ซึ่งจะช่วยกำจัดจุดอับสัญญาณทั่วโลก สิ่งนี้ทำได้โดยการติดตั้งอุปกรณ์ DTC บนดาวเทียม Starlink ซึ่งมีโมเด็ม eNodeB ทำหน้าที่เหมือนเสาสัญญาณโทรศัพท์ในอวกาศ ความสามารถในการส่งข้อความผ่าน DTC ได้รับการทดสอบสำเร็จในเดือนมกราคม ทั้งนี้ DTC กำลังเชื่อมต่อผู้ใช้ 8 ล้านราย ทั่วโลกผ่านโทรศัพท์ LTE ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ที่เคยถูกมองว่าเป็นจุดอับสัญญาณ
การเติบโตแบบก้าวกระโดดของ Starlink ทำให้การแข่งขันดาวเทียม LEO ร้อนแรงขึ้น Amazon ได้เปิดตัวบริการคู่แข่งคือ Amazon Leo (เดิมชื่อ Project Kuiper) เพื่อท้าทายตำแหน่งผู้นำของ Starlink ณ เดือนพฤศจิกายน 2025 Amazon Leo ได้ปล่อยดาวเทียมไปแล้วประมาณ 150 ดวง แต่อ้างว่าบริการของตนเร็วกว่า Starlink ซึ่งมีดาวเทียมใช้งานอยู่ราว 8,500 ดวง คู่แข่งสำคัญอีกรายคือ Eutelsat OneWeb ซึ่งสร้างความแตกต่างด้วยการมุ่งเน้นตลาดธุรกิจสู่ธุรกิจ (B2B) โดยเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA) ที่แน่นอน
ความสำคัญของ Starlink ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานยามภัยพิบัติเพิ่งได้รับการพิสูจน์ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย จากกรณีวิกฤตอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งส่งผลให้ระบบโทรคมนาคมภาคพื้นดินเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้เประสานความร่วมมือกับ SpaceX เพื่อนำอุปกรณ์ Starlink เข้ามาวางระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมความเร็วสูงใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่กู้ภัยในพื้นที่ ภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล
การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญของการบูรณาการเทคโนโลยีระดับโลกเข้ากับการจัดการภัยพิบัติในท้องถิ่น โดยได้รับความร่วมมือจาก กสทช. ในการออกใบอนุญาตนำเข้าเป็นกรณีพิเศษ เพื่อใช้งานเฉพาะพื้นที่และช่วงเวลาวิกฤติเท่านั้น สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Starlink ไม่ใช่เพียงแค่เทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับอนาคต แต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่จำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน การมีแผนสำรองบนอวกาศเป็นทางรอดสำคัญในการช่วยเหลือชีวิตผู้คนและขับเคลื่อนการทำงานในสภาวะวิกฤติได้อย่างทันท่วงที
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด