AI คือ ‘เทคโนโลยีประชาธิปไตย’ ที่ทั้งอันตรายและมีความหวังที่สุด! สัมภาษณ์พิเศษ Royal Hansen จาก Google

ภายในงาน Singapore International Cyber Week 2025 (SICW 2025) Techsauce ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษกับคุณ Royal Hansen, Vice President of Engineering ของ Google เพื่อเจาะลึกถึงมุมมองของเขาต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่นี้ คุณ Royal Hansen ไม่ได้มอง AI เป็นเพียงเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่ง แต่ให้นิยามว่ามันคือ 'เทคโนโลยีที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด' ที่เขาเคยเห็นมาตลอดอาชีพการทำงาน

การเข้าถึงที่ง่ายดายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้เอง ที่ทำให้ทุกคนตั้งแต่คนทั่วไปไปจนถึงผู้ไม่หวังดีระดับประเทศสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ และนี่คือแก่นของความขัดแย้งที่สำคัญที่สุดในยุคของเรา คุณ Royal Hansen ได้วิเคราะห์ถึงศักยภาพอันมหาศาลและภัยอันตรายที่แฝงมากับ AI ในโลกไซเบอร์ซีเคียวริตี้ พร้อมทั้งนำเสนอวิสัยทัศน์ที่การป้องกันเชิงรุกและนวัตกรรมที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือหนทางสู่การอยู่รอด

AI เทคโนโลยีประชาธิปไตย ดาบสองคมในมือทุกคน

หัวใจสำคัญในสารของ คุณ Royal Hansen คือการเรียกร้องให้ทุกคนตื่นตัวและลงมือทำ การที่ AI กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ หมายความว่าการตั้งรับในเรื่องความปลอดภัยแบบเดิมๆ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้โจมตีได้เริ่มใช้ AI ในการสร้างการโจมตีแบบฟิชชิงที่ซับซ้อนขึ้น ค้นหาช่องโหว่ใหม่ๆ และขยายขนาดการโจมตีของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ความได้เปรียบจะตกเป็นของผู้ที่สามารถควบคุมและใช้ประโยชน์จากพลังนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่า

ความเป็นจริงก็คือ AI จะเข้ามาช่วยเหลือทุกคน นั่นหมายความว่ามันจะช่วยผู้โจมตี แต่ก็จะช่วยผู้ป้องกันด้วยเช่นกัน หัวใจสำคัญคือเราในฐานะผู้ป้องกันต้องใช้มันให้เป็น คนที่ชนะคือคนที่ใช้มันอย่างชาญฉลาด ส่วนคนที่จะแพ้คือคนที่ไม่ทำอะไรเลยและรอให้ภัยคุกคามเกิดขึ้นกับตัวเอง

คุณ Royal Hansen เปิดเผยว่า Google ได้ก้าวเข้าสู่โลกความเป็นจริงใหม่นี้แล้ว โดยใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทีมปฏิบัติการด้านความปลอดภัยของตนเองอย่างมหาศาล

'ทีมปฏิบัติการด่านหน้าของเราได้เริ่มใช้ AI แล้ว และเห็นประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในบางกรณีถึงเจ็ดเท่า'

AI ช่วยเร่งกระบวนการทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่การเขียนอีเมล สรุปรายงานเหตุการณ์ที่ซับซ้อน ไปจนถึงการค้นหาแหล่งข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์ ซึ่งช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์มีเวลาไปจัดการกับความท้าทายเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญกว่า

จากเครื่องมือชั้นสูงสู่ผู้ช่วยอัจฉริยะ ผ่านวิวัฒนาการ 'คลาน-เดิน-วิ่ง'

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่คุณ Royal Hansen กลับสนับสนุนแนวทางการนำ AI มาใช้อย่างรอบคอบและเป็นขั้นตอน ซึ่งเขาเรียกว่าโมเดล 'คลาน-เดิน-วิ่ง' กรอบการทำงานนี้เป็นการเดินทางอย่างมีแบบแผนจากผู้ช่วยธรรมดาไปสู่ความเป็นอิสระที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

  • ระยะคลาน (ผู้ช่วย - The Assistant) ในช่วงแรก AI จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ 'ลองนึกถึงฟีเจอร์เติมคำอัตโนมัติ (Autocomplete) ใน Gmail ที่ช่วยเขียนประโยคให้จบ นั่นคือภาพของ AI ในช่วงเริ่มต้น' ระยะนี้จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมศักยภาพของมนุษย์และปรับปรุงขั้นตอนการทำงาน โดยที่ยังไม่มีการมอบอำนาจการตัดสินใจที่สำคัญให้ AI
  • ระยะเดิน (เพื่อนร่วมทีม - The Teammate) เมื่อเทคโนโลยีเติบโตขึ้น AI จะพัฒนาไปเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ไว้ใจได้ 'เหมือนกับมีนักศึกษาฝึกงานในทีม ที่คุณสามารถมอบหมายงานให้ได้' ในระยะนี้ AI สามารถจัดการกับงานที่ซับซ้อนและมีขอบเขตชัดเจนได้ โดยทำงานอย่างอิสระในระดับหนึ่งแต่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของมนุษย์
  • ระยะวิ่ง (ทีม - The Team) คุณ Royal Hansen จินตนาการว่า AI จะสามารถทำงานได้เหมือนกับเป็น 'ทีมทั้งทีม' โดยสามารถรับเป้าหมายระดับสูงและดำเนินการให้สำเร็จได้โดยอัตโนมัติ เหมือนกับทีมงานที่เป็นมนุษย์หรือบริษัทคู่ค้า

สิ่งสำคัญคือ วิวัฒนาการนี้ไม่ใช่การแข่งขันไปสู่ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบที่ปราศจากการควบคุม แนวคิดของ Human in the loop ยังคงมีความสำคัญสูงสุด โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง 

บางครั้งการมีมนุษย์ในวงจรการทำงานเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหรือทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล เราควรต้องมีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ

เขาเสนอให้มีเกราะป้องกัน (Guardrails) ที่ปรับให้เข้ากับบริบทต่างๆ โดยยกตัวอย่างว่าความต้องการด้านความปลอดภัยของโรงพยาบาลนั้นก็ย่อมแตกต่างจากระบบขนส่งหรือธนาคารอย่างสิ้นเชิง

การสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง เจาะลึก Secure AI Framework (SAIF)

เพื่อจัดการกับความเสี่ยงใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับ AI เช่น การป้อนข้อมูลที่เป็นพิษ (Data Poisoning) เพื่อให้ผลลัพธ์ผิดพลาด หรือการเจาะระบบผ่านคำสั่ง (Prompt Injection) เพื่อหลอกให้ AI ละเมิดกฎความปลอดภัยของตัวเอง Google จึงได้ริเริ่มความพยายามร่วมกันผ่าน กรอบการทำงาน Secure AI Framework (SAIF)

นี่ไม่ใช่แค่โครงการของ Google เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความร่วมมือของกลุ่มบริษัทที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรม Hansen ได้สรุปหลักการสำคัญไว้ดังนี้

  • รากฐานที่แข็งแกร่ง (Strong Foundations) การนำแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยแบบดั้งเดิมที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมาใช้กับโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด
  • การป้องกันความเสี่ยงเฉพาะของ AI (AI-Specific Defenses) การพัฒนาระบบป้องกันเพื่อรับมือกับช่องทางการโจมตีรูปแบบใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่โมเดล AI และข้อมูลที่ใช้ฝึกฝนโดยตรง
  • การควบคุมและนโยบายที่ผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (User-Centric Controls) การให้อำนาจผู้ใช้และองค์กรในการกำหนดเกราะป้องกันของตนเอง เช่น การกำหนดว่าเมื่อใดที่มนุษย์ต้องอนุมัติการทำงานของ AI

กรอบการทำงานนี้ถูกออกแบบมาให้เป็น 'กระบวนการและมาตรฐานที่มีชีวิต' ซึ่งจะพัฒนาไปพร้อมๆ กับภัยคุกคามใหม่ๆ และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

Zero Trust ในยุค AI และทักษะที่จำเป็นสำหรับคนรุ่นใหม่

คุณ Royal Hansen ยังได้กล่าวถึงแนวคิด Zero Trust Architecture ซึ่งเป็นหลักการที่ว่า 'อย่าไว้ใจใคร ตรวจสอบเสมอ' (Never trust, always verify) ในอดีต การนำหลักการนี้มาใช้เต็มรูปแบบเป็นเรื่องยาก เพราะสร้างความไม่สะดวกให้ผู้ใช้ แต่ AI สามารถเข้ามาแก้ปัญหานี้ได้ โดยมันสามารถจัดการเรื่องการตรวจสอบสิทธิ์ที่ซับซ้อนเบื้องหลังได้อย่างชาญฉลาด ทำให้ระบบมีความปลอดภัยสูงขึ้นโดยไม่สร้างภาระให้ผู้ใช้

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการก้าวเข้าสู่วงการไซเบอร์ซีเคียวริตี้ Hansen แนะว่าทักษะที่สำคัญที่สุดไม่ใช่แค่ความรู้ทางเทคนิค แต่เป็นกรอบความคิด (Mindset) ที่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ จะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้อย่างไร 'ลองคิดถึงการใช้งานสองทาง (Dual Use)' เขากล่าว เหมือนกับที่เครื่องบินสามารถใช้เป็นอาวุธได้ นวัตกรรมทุกอย่างก็มีด้านมืดเช่นกัน ทักษะที่สำคัญคือการคิดล่วงหน้าและออกแบบระบบเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิดตั้งแต่แรก

คุณค่าที่แท้จริงของ AI ต่อมวลมนุษยชาติ

วิสัยทัศน์ของคุณ Royal Hansen คือการมองให้ไกลกว่าความนิยมในแชทบอทในปัจจุบัน เขาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียง 'สิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ' จากศักยภาพที่แท้จริงของ AI เป้าหมายสูงสุดคือการแก้ปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดของมนุษยชาติ

เขาได้ยกตัวอย่างที่สะท้อนถึงเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับลูกชายของเขาที่ป่วยด้วยภาวะ Long COVID มาเป็นเวลาห้าปี ซึ่งเป็นอาการที่วงการแพทย์ยังคงหาคำตอบไม่ได้ เขาอธิบายว่า AI กำลังปฏิวัติการค้นคว้ายาใหม่ๆ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า 'การพับโปรตีน (Protein Folding)' ซึ่ง AI สามารถทำนายโครงสร้างสามมิติที่ซับซ้อนของโปรตีนได้ สิ่งนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถจำลองการทำงานของยาที่มีศักยภาพว่าจะจับกับโปรตีนเป้าหมายได้อย่างไร ซึ่งช่วยเร่งกระบวนการวิจัยจากที่เคยใช้เวลาหลายปีให้เหลือเพียงไม่กี่วัน 'มันจะช่วยเร่งหลายๆ อย่างให้เร็วขึ้น เราต้องการเร่งกระบวนการเหล่านี้ให้เร็วขึ้น อย่างปลอดภัย แต่ต้องเร็วขึ้น'

สำหรับคุณ Royal Hansen นี่คือเหตุผลที่สำคัญที่สุด งานด้านการรักษาความปลอดภัยของ AI ไม่ใช่แค่การปกป้องข้อมูล แต่คือการปกป้องเครื่องมือที่จะช่วยให้เรารักษาโรคภัยไข้เจ็บ พัฒนาพลังงานสะอาด และจัดหาน้ำดื่มที่ปลอดภัยให้กับผู้ที่ขาดแคลนได้ ความท้าทายนี้ยิ่งใหญ่ แต่ผลตอบแทนนั้นสูงกว่า เพื่อปลดล็อกอนาคตอันน่าทึ่งนี้ ประชาคมโลกจะต้องมุ่งมั่นสร้างมันขึ้นมาอย่างปลอดภัย

งานที่แท้จริงคือวิทยาศาสตร์ คือประสิทธิภาพ คือความปลอดภัย และคือการยกระดับชีวิตของผู้คน

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ‘Starlink’ จักรวาลอินเทอร์เน็ตของ Elon Musk และยุคไร้จุดอับสัญญาณ

เจาะลึกประวัติศาสตร์ Starlink เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตดาวเทียมพลิกโลกของ Elon Musk ตั้งแต่นวัตกรรม V2 Mini, Laser Links, Direct-to-Cell จนถึงบทบาทสำคัญในสงครามและภารกิจกู้ภัยน้ำท่วมหา...

Responsive image

เนเธอร์แลนด์กับสงครามน้ำพันปี ถอดรหัส ‘Delta Works’ จากปัญหามหาอุทกภัย สู่การบริหารจัดการแบบปรับตัว

เจาะลึก Delta Works โครงการป้องกันน้ำท่วมระดับโลกของเนเธอร์แลนด์ จากหายนะปี 1953 สู่สิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรม และโมเดล Adaptive Delta Management รับมือ Climate Change...

Responsive image

เบื้องหลัง 30 ปี SolidWorks จากโปรแกรมเดสก์ท็อป สู่เครื่องมือปลดปล่อยจินตนาการวิศวกร

ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซอฟต์แวร์ 3D CAD ถือเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ยากมาก จึงทำให้ SOLIDWORKS ต้องการสร้างซอฟต์แวร์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ จนในปี 1995 ซอฟต์แวร์ 3D CAD ตัวแรกของโลกที...