'ไชย ไชยวรรณ' แห่งไทยประกันชีวิต สร้างคนอย่างไรให้มี Digital Mindset พร้อมรับทุกความเปลี่ยนแปลง | Techsauce

'ไชย ไชยวรรณ' แห่งไทยประกันชีวิต สร้างคนอย่างไรให้มี Digital Mindset พร้อมรับทุกความเปลี่ยนแปลง

Business model ที่ได้ปรับไปล่วงหน้าแล้วเพิ่มเติมด้วย Digital mindset เพื่อให้สอดรับกับ New Normal คือโจทย์สำคัญของผู้นำอย่าง ไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ไทยประกันชีวิต ซึ่งย้ำว่าต้องใช้ทั้งหัวใจและสมองในการดูแล 'คน' พร้อมเสริมทักษะเพื่อให้ทีมงานมีความสามารถในการปรับตัวได้ดี โดยผสมผสานปรัชญาโลกตะวันออกในการบริหาร ‘คน’ ร่วมกับใช้ศาสตร์โลกตะวันตกขับเคลื่อนกิจการ ตลอดจนมองหาโอกาสใหม่ที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างกลยุทธ์ระยะสั้นและระยะยาวในอนาคตด้วย 

โดยกลุ่มไทยประกันชีวิตเป็นองค์กรธุรกิจที่ดำเนินงานมายาวนานกว่า 75 ปี ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจประกันภัยและการเงิน ได้แก่ บมจ. ไทยประกันชีวิต บมจ. ไทยไพบูลย์ประกันภัย บมจ. ไทยประกันสุขภาพ และบมจ. ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย รวมถึงธุรกิจโรงแรมและอพาร์ตเม้นท์ ที่ต่างได้รับผลกระทบหลังการแพร่ระบาดของ Covid-19 จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน Business model และแนวทางการบริหาร เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นในอนาคต

Digital Mindset

ไทยประกันชีวิตต้องปรับเปลี่ยน Business model ใหม่ในแง่มุมใดบ้าง

วิกฤตการณ์ครั้งนี้ ธุรกิจต้องกลับมาดูตัวเองว่าเราจะ reframe business หรือ refocus business หรือ repurpose business

ในส่วนของ reframe business หมายความว่า จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยมุมมองใหม่ ๆ ด้วยนวัตกรรมหรือความคิดที่สร้างสรรค์หรือไม่ ขณะที่ refocus business หมายความว่า ควรจะมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายใหม่หรือไม่ และ repurpose business หมายความว่า จะต้องปรับเปลี่ยนหรือประยุกต์วัตถุประสงค์ของธุรกิจหรือไม่ 

สำหรับไทยประกันชีวิต เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว มีการกำหนด Business model ขึ้นมาใหม่ว่า คือการส่งมอบสุขภาพที่ดีให้กับผู้เอาประกันของเรา และสร้างความมั่นคงของผู้ประกันได้มีความสุขกับการใช้เงินออมเมื่อเขาเกษียณ 

ฉะนั้นหากดูวิกฤตการณ์ครั้งนี้ก็ถือว่าแทบไม่ได้เปลี่ยน Business model มากนัก เพราะทำให้หลาย ๆ คนตระหนักว่าการดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้น นอกจากการดูแลสุขภาพแล้ว ทุกคนเริ่มเข้าใจว่าเรื่องของดิจิทัลได้เข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวันมากขึ้น ฉะนั้นการเปลี่ยน digital mindset จากวิกฤติครั้งนี้อาจจะเป็นการเปลี่ยนที่ง่ายขึ้นสำหรับคนในองค์กร เพราะเขาเริ่มคุ้นเคยกับการใช้ดิจิทัลมากขึ้น 

แทนที่จะยึดกับการประกันชีวิตแบบเดิม ๆ ว่าแค่สร้างหลักประกันให้ครอบครัว เมื่อเสียชีวิตหรือเข้าโรงพยาบาลก็จ่ายสินไหม แต่มองอีกมุมในแง่ของการเป็น Preventive คือทำอย่างไรให้สามารถส่งมอบสุขภาพที่ดีให้กับลูกค้าของเรา ทำอย่างไรให้ลูกค้าของเรามีความสุขเมื่อเขาออมเงินกับเรา และได้ใช้เงินเมื่อวัยเกษียณ 

นอกจากนี้ ยังต้องถามตัวเองว่าจุดแข็ง/จุดอ่อนของเราคืออะไร สามารถตอบสนองสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้หรือไม่ ทำอย่างไรให้มีกระแสเงินสดเพียงพอ คือทำตัวเองให้เบาขึ้น มีความยืดหยุ่นพร้อมปรับเปลี่ยนกับสถานการณ์ได้ 

นอกจากนั้นต้องใช้เวลากับปัญหาที่แก้ได้ เช่น เรื่องพนักงาน กระแสเงินสด ธุรกิจ และอย่าไปสนใจกับปัญหาที่แก้ไม่ได้ เช่น วัคซีนจะมาเมื่อไร ราคาน้ำมันจะขึ้นไหม เพราะสิ่งเหล่านี้เราแก้ไม่ได้ และเราจะต้องรับรู้อยู่แล้วว่าวันนี้วัคซีนยังไม่เกิดขึ้น อาจจะเกิดในอีก 1 ปีข้างหน้า เราควรจะ set aside ไว้และกลับมามองเรื่องของพนักงานและธุรกิจว่าเราจะดำเนินต่อไปอย่างไรเมื่อ New Normal เกิดขึ้น 

ผมถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้ upskill/reskill/cross-skill ให้กับพนักงานของเรา ที่สำคัญคือเป็นโอกาสที่เราจะสร้างอัตลักษณ์หรือลายเซ็นขึ้นมาใหม่ และสำคัญที่สุดที่มักจะมองตลอดเวลาและเป็นค่านิยมของไทยประกันชีวิตคือ ถ้าวันนี้พนักงานได้รับการดูแลเหมือนคนในครอบครัวแล้ว ไม่ว่าวิกฤติอะไรที่เกิดขึ้นก็ตาม พลังของความสามัคคี ความศรัทธาในกันและกันจะขับเคลื่อนให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้ 

สำหรับไทยประกันชีวิตเรามีค่านิยม 3 คำคือ Heart Head และ Hand โดย Heart คือใส่ใจ กับคนรอบข้าง ลูกค้า เพื่อนร่วมงาน และผู้ถือหุ้น ส่วน Head คือพยายามสร้างความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา สุดท้ายคือ Hand คือลงมือทำ เพราะผมเชื่อว่าเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ ที่ผู้นำต้องใส่ใจวิสัยทัศน์หรือค่านิยมนั้นด้วย

เพราะถ้าเจ้าของธุรกิจหรือผู้นำ นำเอาวิสัยทัศน์และค่านิยมมาสร้างวัฒนธรรม และลงมือทำ สิ่งที่ตามมาคือมันจะกลายเป็น DNA ขององค์กรและสร้างภูมิต้านทานและความยืดหยุ่นให้กับองค์กร ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติอะไรขึ้น 

ในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ ‘คน’ มีแนวทางบริหารจัดการทีมงานในยามวิกฤติอย่างไร

ค่านิยมที่สำคัญคือ ความสำเร็จของไทยประกันชีวิตคือคนในองค์กร เราเชื่อมั่นและยึดมั่นในความผูกพัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดใด ๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารอดพ้นมาได้คือเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี คือคนในองค์กรมีความผูกพันซึ่งกันและกัน มีความรักความสามัคคี ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ รวมถึงความศรัทธา สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะทำให้องค์กรอยู่รอด 

นอกจากนี้ ผมเชื่อว่าคนที่จะอยู่รอดได้คือ คนที่ต้องปรับตัวให้ได้มากที่สุด ข้อแรกในเรื่องกระบวนการทำงานที่ทำอย่างไรให้เกิด lean process คือลดขั้นตอนการทำงาน ใช้คนให้น้อยลงได้หรือไม่ โดยใช้เทคโนโลยีมาลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพได้หรือไม่ 

ขณะเดียวกันคือจะ upskill/reskill/cross-skill คนเหล่านี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะ cross-skill จะทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น เพราะได้รับผิดชอบและมีบทบาทที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งทักษะที่ง่ายจะถูกแทนด้วย automation ได้หรือไม่ ในแง่ของผลิตภัณฑ์ของไทยประกันชีวิต จะต้อง customize มากขึ้นตาม lifestyle/ life stage/life event 

ขณะเดียวกันอัตราเบี้ยประกัน วันนี้จะต้อง dynamic และ flexible มากขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีการ customize มากขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจจะต้องมองช่องทางการขายใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น e-commerce เพราะผู้เอาประกันเริ่มคุ้นเคยกับการใช้ดิจิทัลมากขึ้น จึงต้องกลับไปดูเรื่องผลิตภัณฑ์และการกำหนดราคาที่จะขายผ่านช่องทางดิจิทัล

รวมถึงจุดไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักอาจจะต้อง outsource ออกไปหรืออาจจะต้องร่วมมือกับคู่ค้ามากขึ้น เช่น เรื่องการส่งมอบสุขภาพที่ดี อาจจะต้องร่วมมือกับโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญากันอยู่ว่าจะทำอย่างไรที่จะส่งมอบสุขภาพที่ดีให้กับผู้เอาประกันของเราได้ ส่วนเรื่อง online payment ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเป็น New Normal 

Digital Mindset

Digital mindset สามารถสะท้อนมาเป็นรูปธรรมได้อย่างไรบ้าง

คำว่า Digital mindset คือเขาจะต้องเปลี่ยน mindset ของพนักงานที่จะหันมาใช้ดิจิทัลในการทำงานมากขึ้น เช่น เครื่องมือในการนำเสนอขาย ซึ่งจริง ๆ เราก็มีอยู่แล้ว แต่อาจจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานมากขึ้นจากเดิมที่เขาคิดว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะใช้ เพราะคิดว่าเขาสามารถขายในวิธีเดิม ๆ หรือในลักษณะของ face to face สิ่งเหล่านี้เขาอาจจะไม่คุ้นเคย แต่ในวันนี้ต้องใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น ก็จะมีความเข้าใจว่าเครื่องมือเหล่านี้คือเครื่องมือในอนาคต 

ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนพฤติกรรมได้เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น เพียงแต่เราต้องมองว่าวิกฤตินั้นไม่ได้มาทำลายเรา แต่ทำให้มีโอกาสเกิดขึ้น ทำอย่างไรที่จะผลักดันให้เขาใช้ Digital technology/ Digital tools มากขึ้น 

มีกลยุทธ์อะไรที่จะทำให้เกิด Digital mindset ตามเป้าหมาย

แม้เรามีแคมเปญมารณณรงค์เรื่อง Digital mindset แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องชั่วคราวหรือระยะสั้น แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ ถ้าจะทำให้สิ่งเหล่านี้อยู่อย่างยั่งยืน ไม่ใช่ไฟลามทุ่งด้วยการใช้แคมเปญ ก็คือการที่ต้องทำให้พนักงานเกิดทักษะในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง หรือการสร้าง Growth mindset ทำให้เขาเชื่อว่าตัวเองสามารถพัฒนาตัวเขาเองได้ สร้างให้เขารู้จักกระตือรือร้นในการที่จะเรียนรู้ ให้เขาสนุกกับการเรียนรู้และการแก้ปัญหา หากมี Growth mindset จะอยู่กับตัวเขาตลอดไป แต่ถ้าเป็นแคมเปญก็เหมือนไฟลามทุ่ง และเปลี่ยนพฤติกรรมได้เพียงชั่วคราวเพราะมีรางวัลมาล่อใจ แต่ก็เป็นข้อดีที่ทำให้เกิดการเริ่มต้น แต่ในระยะยาวคือต้องเปลี่ยนเขาให้มี Growth mindset ทำให้รู้ว่าการที่เรียนรู้เรื่องแบบนี้จะทำให้เติบโตได้ รวมถึงเผชิญกับปัญหาและการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

ในยามที่องค์กรต้องฝ่าวิกฤติ ตัวผู้นำเองควรจะมีคุณลักษณะอะไรบ้าง

ผมเชื่อว่าผู้นำในวันนี้ต้องใช้หัวใจและสมอง ใช้หัวใจคือต้องเข้าใจและเห็นอกเห็นใจทีมงานหรือพนักงานของตัวเอง เห็นอกเห็นใจลูกค้า เพราะช่วงวิกฤติ มนุษย์เราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าเรื่องของความปลอดภัยและสุขภาพที่ดี ฉะนั้นความเห็นอกเห็นใจหรือความเอื้ออาทรเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับทีมงานของเรา

สิ่งที่สำคัญคือเราต้องดูแลคนของเราหรือคนที่ใกล้ตัว มองเขาเหมือนคนในครอบครัว ทำอย่างไรที่จะให้เขามีสุขภาพที่ดีและปลอดภัยมากที่สุด เพราะถ้าตรงนั้นเกิดขึ้น พลังของความสามัคคี ความศรัทธา ความเชื่อในกันและกันจะช่วยให้องค์กรผ่านพ้นวิกฤติไปได้

ต่อมาคือใช้สมอง ทำอย่างไรที่จะประคับประคองผลประกอบการให้ผ่านไปได้ เมื่อถึงเวลา ผู้นำต้องตัดสินใจให้รวดเร็ว อาจจะต้องรวบอำนาจขึ้นมาเพื่อตัดสินใจให้รวดเร็วขึ้น และต้องลำดับความสำคัญของงาน รู้ว่าอะไรที่จะต้องทำก่อน อะไรที่จะต้องตัดสินใจก่อน ต้องมองว่าตอนนี้ความรวดเร็วสำคัญกว่าความสมบูรณ์แบบ 

ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้เราตัดสินใจได้รวดเร็วมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบในช่วงที่เกิดวิกฤติ และต้องสร้างความเชื่อใจ ไว้วางใจให้กับทุกฝ่าย สื่อสารตรงไปตรงมา ให้คำมั่นสัญญากับคนในองค์กร ลูกค้า ผู้ถือหุ้น หรือแม้กระทั่งกับสังคม

นอกจากนี้ก็มองหาโอกาสเตรียมพร้อมกับ New Normal ที่จะเกิดขึ้น รักษาสมดุลระหว่างกลยุทธ์ระยะสั้นและระยะยาว ดูว่าอะไรที่ควรจะลดต้นทุนเพื่อความอยู่รอด และอะไรที่จะต้องลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต เพราะฉะนั้นผมถือว่าวิกฤติคือโอกาสที่จะนำไปสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรไปในทางที่ดีขึ้นได้ สร้างสรรค์คุณค่าให้เกิดขึ้นกับคนในองค์กร ให้คนในองค์กรรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้นจากการที่เราได้ upskill/reskill/cross skill

“และสุดท้ายสิ่งที่จะเกิดขึ้นและทำให้องค์กรอยู่ได้อย่างยั่งยืน คือความไว้วางใจกันและกัน ระหว่างบริษัทและพนักงาน ซึ่งผมเชื่อว่ามันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เราฝ่าวิกฤติไปได้” 

สูตรลับที่ค้นพบและคิดว่าสามารถส่งมอบให้คนอื่นได้เรียนรู้ด้วยคืออะไร

อย่างที่บอกว่า ผู้นำคือคนที่สร้าง DNA ของไทยประกันชีวิต เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ไทยประกันชีวิตเป็นอยู่ทุกวันนี้ วัฒนธรรมที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าคือ secret sauce ที่ผมได้ปรุงแต่งออกมาแล้ว แต่ถ้าถามง่ายๆ ก็คือ Heart Head และ Hand ที่พูดถึง เราต้องมีความใส่ใจให้คนที่อยู่รอบข้างเรา หรือบางคนจะเรียกว่า Empathy คือเข้าใจ เห็นอกเห็นใจและเอื้ออาทร Head คือเราต้องเป็นหัวสมองและบางครั้งแจจะต้องเป็นกุญแจให้ลูกน้อง หรือบางครั้งต้องเป็นกาวใจให้ลูกน้องของเราด้วย Hand ก็คือต้องลงมือทำด้วยความมุ่งมั่น พูดง่ายๆ คือต้องอึด ฮึด สู้ในทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ คำว่าอึด สำหรับผมคือคนต้องมีความเข้มแข็งทั้งจิตใจ ยิ้มสู้ในทุกสถานการณ์ ฮึดคือเราต้องมีกำลังใจที่ดี เชื่อว่าสิ่งเลวร้ายจะผ่านไปได้ อะไรที่เกิดขึ้นก็ขอให้คิดว่าสิ่งนั้นดีอยู่เสมอ สุดท้าย สู้คือเราต้องลุกมือสู้กับปัญหาอย่างชาญฉลาด ปรับตับให้เข้ากับสถานการณ์ แก้ไขปัญหาและหาทางออกได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทุกคนควรจะต้องมี ไม่ใช่แค่เฉพาะผมคนเดียว 

Digital Mindset

รูปแบบการบริหารงานของคุณไชยคืออะไร

ผมเชื่อว่าการบริหารงานอย่างสร้างสรรค์ใช้ศาสตร์ของโลกตะวันตกได้ แต่สำหรับการบริหารคนนั้นผมเชื่อในปรัชญาโลกตะวันออก ว่าเป็นการบริหารคนที่ดี เข้าใจคุณค่าของมนุษย์หรือเข้าใจคุณค่าของคน 

ทุกวันนี้เราจะคุ้นเคยกับ KPI (Key Performance Indicator) / OKR (Objectives and Key Results) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่โลกตะวันตกกำหนดขึ้น แต่ถ้ามองกลับไปด้วยวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม คนตะวันตกมักใช้ตรรกะในการคิด ขณะที่การใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ ผูกพันอยู่ในวัฒนธรรมองเรา ดังนั้นการบริหารคนด้วยมุมมองของวัฒนธรรมไทยและมุมมองของโลกตะวันออก จะทำให้การบริหารคนมีประสิทธิภาพมากกว่า 

ถ้าเราศึกษาญี่ปุ่น ที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิเซน จะบอกว่า KPI คือ Kaizen คือการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นถ้ายังไม่ได้ตาม KPI ก็ไม่ต้องท้อถอย และนำจุดที่ยังไม่ถึงตาม KPI มาทบทวนดูว่าอะไรคือปัญหา อะไรคืออุปสรรค และหาทางที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ และลงมือทำอีกครั้ง 

เพราฉะนั้น KPI แบบ Kaizen ของญี่ปุ่น ทำให้คนทำงานรู้สึกว่าไม่รู้สึกกดดัน แต่จะรู้สึกว่าจะต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น จะทำให้รู้สึกว่ามีคุณค่ามากขึ้นถ้าสามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเหล่านั้นให้บรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด 

เช่นเดียวกับ Omotenashi (ความใส่ใจในการบริการ) หรือการให้บริการแบบจิตวิญญาณของญี่ปุ่น ที่เจ้าบ้านไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าให้ผู้เยือนได้รับสิ่งที่ดีที่สุด โดยทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนกับว่าเราไม่มีโอกาสที่จะได้เจอเขาอีกแล้ว เพื่อที่เราจะได้ไม่เสียใจถ้าไม่ได้เจอกันอีก

โดยหลักการของ Omotenashi ไม่ใช่แค่ใช้เฉพาะบริษัทกับลูกค้าเท่านั้น แต่สามารถใช้กับคนในองค์กรหรือเพื่อร่วมงานได้  ถ้าเรานำมาใช้ให้ถูกต้องและใช้ให้เป็นการสร้างความรัก ความผูกพันและความสามัคคี สุดท้ายทุกคนก็จะนำพาองค์กรผ่านวิกฤติเหล่านั้นไปได้

การแข่งขันในธุรกิจประกันชีวิตจากนี้จะเปลี่ยนไปในรูปแบบเช่นไร

ผมมองว่าภาพใหญ่ของธุรกิจประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ จะมีผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้น เพราะจากวิกฤติครั้งนี้ทำให้คนต้องดูแลสุขภาพตัวเอง ต้องมีค่ารักษาพยาบาลหากมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ฉะนั้นอาจจะเป็นโอกาสให้ธุรกิจเหล่านี้ได้รับการรับรู้มากขึ้นและได้รับความสนใจมากขึ้น 

ในอีกมุมหนึ่งคือวิกฤติครั้งนี้ก็มีความเสี่ยงต่อองค์กรเช่นเดียวกัน เพราะวันนี้ยังไม่มีวัคซีน ถ้าเกิดการระบาดอย่างร้ายแรง องค์กรไม่สามารถสร้างความสมดุลในการดำเนินธุรกิจ หรือยังไม่สามารถบริหารความเสี่ยงได้ องค์กรเหล่านั้นก็อาจจะมีปัญหา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าองค์กรจะมองแค่ยอดขายหรือกำไร สิ่งที่สำคัญคือองค์กรต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างการบริหารความเสี่ยงและการทำให้ธุรกิจเติบโต  

ความเข้มข้นของการแข่งขันในธุรกิจประกันชีวิตจะเปลี่ยนไปหรือไม่

คงจะไม่ aggressive เพราะการบริหารธุรกิจประกันชีวิตมันคือเรื่องการบริหารความเสี่ยง อีกอย่างคือเป็นเรื่องของการบริหารการเงิน เมื่อเรารับลูกค้า 1 รายต้องผูกพันกับลูกค้าเป็นเวลา 10-20 ปี เมื่อครบอายุกรมธรรม์เราต้องพร้อมที่จะมีเงินคืนให้กับลูกค้าได้ ในเรื่องของการบริหารการเงิน เราต้องมาดูว่าเบี้ยประกันที่เราได้รับจากลูกค้า เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างยั่งยืนและพร้อมที่จะคืนให้กับลูกค้าเมื่อครบกำหนด

คุณไชยมีความเห็นอย่างไรต่อผลจากการมีวัคซีนต้าน Covid-19   

วิธีของผมคือรับรู้กับปัจจุบันก่อนเข้าใจอนาคต นั่นคือเราจะทำอย่างไรให้องค์กรผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ในอนาคตวัคซีนจะมาหรือไม่มา หรือจะช่วยเราหรือไม่ก็เพียงแค่รอดู อย่าเพิ่งไปโฟกัส 

แต่สิ่งที่สำคัญคือวันนี้เกิด New Normal ขึ้น ที่เห็นชัดคือพฤติกรรมของคนเปลี่ยน แล้วเราจะทำอย่างไรให้ตามทันพฤติกรรมเหล่านั้น มากกว่าจะไปมองเรื่องที่เราแก้ไขไม่ได้ และเราก็ไม่รู้ว่ามันจะดีหรือไม่ดี 

แน่นอนเมื่อเรารู้ว่าพฤติกรรมของคนเปลี่ยน เช่น ใช้ออนไลน์มากขึ้น เข้าใจเรื่องดิจิทัลมากขึ้น สิ่งที่เห็นได้ชัดคือธุรกิจดิจิทัลจะเติบโตมากขึ้น สิ่งที่ผมมองเห็นคือ Digitalization มาแน่ ๆ และมาเร็วขึ้นกว่าสิ่งที่เราเคยคาดคิดไว้ด้วยวิกฤตการณ์เหล่านี้ 

เมื่อ Digitalization มาจริง ๆ เราต้องคิดว่าจะรับมืออย่างไร มากกว่าจะไปมองว่าวัคซีนจะเกิดหรือไม่เกิด

ฟัง Podcast ผ่านช่องทางต่างๆ ได้ที่

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เจาะลึกบทบาท CVC กับการลงทุนใน Startups ยุคใหม่ กับ Nicolas Sauvage หัวเรือใหญ่ TDK Ventures

เจาะลึกบทบาทของ CVC ในการขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่ พร้อมเผยกลยุทธ์การเฟ้นหาและสนับสนุน Startups รวมถึงแบ่งปันวิสัยทัศน์เชิงลึกรวมถึงกลยุทธ์การลงทุนใน Startups ที่น่าจับตามอง โดย Nico...

Responsive image

คุยกับ ‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ ผู้นำทัพการเปลี่ยนแปลงกลุ่มบริษัทบ้านปู และอนาคตของธุรกิจพลังงานสู่ทศวรรษที่ 5

รู้จัก ‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ ผู้นำทัพการเปลี่ยนแปลงกลุ่มบริษัทบ้านปู และอนาคตของธุรกิจพลังงานสู่ทศวรรษที่ 5...

Responsive image

คุยกับ Andrew Ng ผู้ทรงอิทธิพล AI ระดับโลก | Exec Insight EP.75

พบกับบทสัมภาษณ์พิเศษจาก Andrew Ng โดย Techsauce...