
โรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมเหมือนภัยเงียบที่ค่อยๆ แทรกเข้ามาในสังคมยุคใหม่ เพราะคือหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่น่ากังวลที่สุดรองจากโรคมะเร็ง ความเสียหายจากโรคนี้ประเมินค่าไม่ได้ ทั้งสำหรับผู้ป่วยที่ค่อยๆ สูญเสียความทรงจำ ตัวตน และความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน และสำหรับครอบครัวที่ต้องแบกรับทั้งความเครียดและค่าใช้จ่ายมหาศาล
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาวงการแพทย์ทุ่มงบประมาณหลายพันล้านเพื่อพัฒนายาที่จะหยุดหรือชะลอการลุกลามของโรคอัลไซเมอร์ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่หวัง ยาส่วนใหญ่เน้นไปที่การกำจัดโปรตีนที่สะสมในสมองและจับตัวเป็นก้อนจนทำลายเซลล์สมอง ซึ่งแนวทางนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการทดลองหลายครั้ง จนทำให้นักวิจัยตั้งคำถามว่า...เราเดินผิดทางมาตลอดหรือเปล่า?
ซึ่งตอนนี้ก็มีเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่ใช่ยาเกิดขึ้นแล้ว แต่เป็น “‘หมวกบำบัดสมอง’” ที่อาจเปลี่ยนวิธีต่อสู้กับโรคอัลไซเมอร์ได้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาวิธีรักษาโรคอัลไซเมอร์ที่แพทย์ใช้กันมักจะโฟกัสไปที่ ‘การกำจัดโปรตีนส่วนเกิน’ ซึ่งเมื่อสะสมอยู่ในสมองจะจับตัวเป็นก้อนและทำลายเซลล์ประสาท แนวทางนี้เปรียบได้กับการพยายามตักน้ำออกจากเรือที่รั่วอยู่ตลอดเวลา ถึงจะช่วยได้บ้างแต่ก็ไม่สามารถหยุดปัญหาได้ทั้งหมด
แต่ ‘‘หมวกตัวนี้’’ กลับทำอีกแบบ ซึ่งจะไม่ได้ส่งสารเคมีหรือยาชนิดใหม่เข้าไปในร่างกายเลย แต่ใช้วิธีฉาย ‘แสงอินฟราเรด’ ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ 1060–1080 นาโนเมตร ไปยังสมอง แสงนี้จะช่วยกระตุ้นให้เซลล์สมองเริ่มซ่อมแซมตัวเองและผลิตพลังงานขึ้นมาใหม่
แนวคิดใหม่นี้มองต่างจากเดิมว่าสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์อาจไม่ใช่แค่เพราะโปรตีนสะสมมากเกินไปตั้งแต่แรก แต่เพราะ ‘เซลล์สมองขาดพลังงาน’ จนทำงานได้ไม่เต็มที่ พอระบบภายในรวนร่างกายก็จัดการกับโปรตีนผิดปกติได้ไม่ดี ทำให้มันค่อย ๆ สะสมขึ้นมา ดังนั้นถ้าเราช่วยเติมพลังงานให้เซลล์กลับมาทำงานได้ปกติ ระบบอื่น ๆ ก็อาจฟื้นกลับมาได้เช่นกัน และนั่นอาจเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาตั้งแต่ต้นเหตุ
เทคโนโลยีนี้มีชื่อว่า Photobiomodulation ซึ่งเป็นการใช้แสงเพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานทางชีวภาพของเซลล์ โดยมีหลักการดังนี้ :
หมวกบำบัดสมองทำงานโดยปล่อยแสงอินฟราเรดใกล้ที่มีความยาวคลื่น 1060–1080 นาโนเมตร ซึ่งสามารถทะลุผ่านหนังศีรษะและกะโหลกศีรษะเข้าไปถึงสมองได้โดยไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อ เมื่อแสงเข้าไปถึงเซลล์สมอง มันจะไปกระตุ้น “ไมโทคอนเดรีย” ซึ่งเป็นเหมือนโรงไฟฟ้าขนาดจิ๋วที่คอยผลิตพลังงานให้เซลล์ พลังงานนี้อยู่ในรูปของโมเลกุล ATP หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “เชื้อเพลิงของเซลล์” เพราะถ้าเซลล์ขาด ATP หรือมีไม่พอ มันจะอ่อนแรงและเริ่มเสื่อมลงเรื่อย ๆ การกระตุ้นด้วยแสงทำให้ไมโทคอนเดรียผลิต ATP มากขึ้น ช่วยให้เซลล์สมองที่อ่อนแรงจากโรคอัลไซเมอร์กลับมาทำงานได้ดีขึ้นแทนที่จะเสื่อมลงต่อเนื่อง
นอกจากนี้ หมวกยังปล่อยแสงเป็นจังหวะที่ 10 เฮิรตซ์ ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าช่วยปรับคลื่นสมองและเพิ่มประสิทธิภาพของการบำบัด รวมทั้งหมดนี้ทำให้เทคโนโลยีดังกล่าวอาจเป็นอีกความหวังใหม่ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์โดยไม่ต้องใช้ยา
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่พลังงานที่เพิ่มขึ้น แต่ยังรวมถึงช่วยลดการอักเสบและความเสียหายของสมอง, เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น, กระตุ้นให้สมองสร้างเซลล์ใหม่และเชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น
แม้ว่าจะมีผู้เข้าร่วมแค่ 11 คน แต่ผลลัพธ์สร้างความหวังมาก ซึ่งในการทดลองนี้ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้สวมหมวกบำบัดด้วยแสงวันละ 6 นาที ติดต่อกัน 28 วัน หลังการทดลองพบว่าผู้ป่วยมีพัฒนาการดีขึ้นหลายด้าน เช่น
นอกจากนี้ การตรวจคลื่นสมอง (EEG) ยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในทางบวก บ่งบอกว่าสมองมีความตื่นตัวและประมวลผลข้อมูลได้ดีขึ้น ที่น่าทึ่งคือผลลัพธ์เหล่านี้เกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ซึ่งต่างจากการทดลองยาส่วนใหญ่ที่มักต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี
อีกสิ่งที่ทำให้วิธีนี้น่าสนใจคือความปลอดภัย การบำบัดด้วยแสงแทบไม่มีผลข้างเคียง แตกต่างจากยาบางชนิดที่เคยทดลองซึ่งอาจทำให้สมองบวมหรือเลือดออกในสมอง
ข้อดีอื่นๆ คือ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีดยา หรือกินยา ผู้ป่วยเพียงสวมหมวกวันละไม่กี่นาที และในอนาคตอาจพัฒนาให้ใช้เองที่บ้านได้ พร้อมมีแนวโน้มว่าจะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการใช้ยา
โดยทั้งหมดยังเป็นเพียงก้าวแรกอยู่ เพราะนักวิจัยยอมรับว่าการทดลองนำร่องยังมีข้อจำกัด จึงจำเป็นต้องมีการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อยืนยันว่าวิธีนี้ได้ผลจริงและดูว่าผู้ป่วยกลุ่มไหนที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่งการทดลองก็เริ่มดำเนินการแล้ว
นอกจากอัลไซเมอร์ นักวิจัยก็ยังศึกษาว่าเทคโนโลยี “Photobiomodulation” หรือการบำบัดด้วยแสง สามารถช่วยโรคทางสมองอื่นๆ ได้หรือไม่ เช่น โรคพาร์กินสัน, ผู้ป่วยฟื้นตัวหลังหลอดเลือดสมอง, การบาดเจ็บสมอง (TBI) หรือภาวะซึมเศร้า เพราะโรคเหล่านี้มีปัญหาเรื่องเซลล์สมองขาดพลังงานและการอักเสบเหมือนกัน สำหรับผู้ป่วยและครอบครัวนี่คือข่าวดี แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่วิธีรักษาให้หายขาด แต่เป็นเพียงแนวทางใหม่ที่อาจช่วยชะลอความเสื่อม
อ้างอิง: techfixated
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด