ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกของ Health Tech กำลังเดินหน้าด้วยความเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จากเดิมที่เทคโนโลยีการแพทย์เป็นเรื่องของห้องแล็บและโรงพยาบาลระดับท็อป วันนี้มันกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อยู่ในสมาร์ตวอชบนข้อมือ และในฐานข้อมูลสุขภาพของเราทุกคน
ระบบสาธารณสุขทั่วโลกเริ่มขยับจากการรักษาในโรงพยาบาล ไปสู่การดูแลสุขภาพแบบกระจายออกนอกโรงพนาบาล ไม่ว่าจะผ่านการแพทย์ทางไกล (Telemedicine), เซนเซอร์ติดตามสุขภาพ และโมเดล Home Care ที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ที่บ้าน ข้อมูลจาก Deloitte ระบุว่าองค์กรสุขภาพกว่า 70% กำลังลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อย้ายการดูแลผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล

นอกจากนี้ เทรนด์ใหญ่ที่มาแรงในหมู่คนรุ่นใหม่ คือ การดูแลสุขภาพก่อนป่วย ไม่ว่าจะเป็น Wearables ที่ตรวจจับสัญญาณหัวใจ, แอปวิเคราะห์พฤติกรรมการนอน, หรือระบบวิเคราะห์โภชนาการเฉพาะบุคคล เทคโนโลยีเหล่านี้สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากการแพทย์แบบรับมือกับโรค ไปสู่การแพทย์เชิงคาดการณ์ที่ใช้ข้อมูลและ AI ช่วยป้องกันโรคก่อนเกิด
ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของเทรนด์ใหญ่ระดับโลก ที่กำลังเขย่าวงการสุขภาพในทุกมิติ จากการย้ายศูนย์กลางการรักษาออกจากโรงพยาบาล สู่โลกของข้อมูลสุขภาพและ AI ที่ช่วยคาดการณ์โรคก่อนเกิดจริง เรากำลังเห็นการเปลี่ยนผ่านจากระบบสาธารณสุขสู่ระบบนิเวศของการดูแลสุขภาพ ที่มีเทคโนโลยีเป็นหัวใจของทุกการดูแล
ตลาด Digital Health ทั่วโลกกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด จากมูลค่า 312.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2024 คาดว่าจะพุ่งทะยานสู่ 387.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 และที่น่าทึ่งคือ มีการคาดการณ์ว่าจะทะลุ 2.19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2030 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 22-25% ต่อปี
การเติบโตมหาศาลนี้ไม่ได้มาจากการสร้างโรงพยาบาลเพิ่ม แต่เกิดจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาปฏิวัติวิธีคิดเรื่องสุขภาพตั้งแต่รากฐาน อาทิ
AI พลิกโฉมการวินิจฉัยโรค: จากเดิมที่ต้องพึ่งพาประสบการณ์ของแพทย์เป็นหลัก วันนี้ AI สามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์อย่าง X-ray หรือ MRI ได้แม่นยำกว่าสายตามนุษย์ ช่วยตรวจจับมะเร็งได้ในระยะเริ่มต้น และยังสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ของผู้ป่วยเพื่อวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดได้.
Telemedicine สู่โรงพยาบาลเสมือนจริง: การรักษาทางไกลที่เคยเป็นเพียงทางเลือกสำรองในช่วงโควิด-19 ได้ยกระดับสู่ Virtual Hospitals ที่ให้บริการครบวงจร ตัวอย่างเช่น SEHA Virtual Hospital ในซาอุดีอาระเบียที่เชื่อมต่อศูนย์สุขภาพกว่า 130 แห่ง ดูแลผู้ป่วยได้ถึง 400,000 คนต่อปี ขณะที่ในอังกฤษ NHS ก็กำลังเตรียมเปิด Online Hospital เพื่อรับมือสังคมสูงวัยและการขาดแคลนบุคลากร.
Wearable Devices และ IoT: อุปกรณ์สวมใส่ติดตัวอย่างสมาร์ทวอทช์หรือแหวนอัจฉริยะ ไม่ได้ทำหน้าที่แค่นับก้าวเดินอีกต่อไป แต่สามารถติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ, คุณภาพการนอนหลับ และส่งข้อมูลสำคัญให้แพทย์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้การดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังทำได้จากที่บ้าน และแพทย์สามารถเฝ้าระวังความผิดปกติได้ตลอด 24 ชั่วโมง.
Precision Medicine การแพทย์แม่นยำ: นี่คือการเปลี่ยนจากการใช้ "ยาขนาดเดียวสำหรับทุกคน" ไปสู่ยาที่ออกแบบมาเพื่อคุณคนเดียว ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรม ทำให้แพทย์สามารถเลือกยาที่ตอบสนองต่อร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคนได้ดีที่สุด ลดผลข้างเคียง และเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา.
ถ้าจะพูดว่าเทคโนโลยีสุขภาพกำลังเกิดใหม่ทุกวันก็คงไม่เกินจริง เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้วหลายด้าน ตั้งแต่การค้นพบยาใหม่ด้วย AI ไปจนถึงหุ่นยนต์ที่สามารถผ่าตัดได้เองอย่างแม่นยำในระดับไมโครเมตร อาทิ
ประเทศไทยเองก็กำลังยืนอยู่บน จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโครงสร้างประชากรและเศรษฐกิจ จากประเทศที่เคยมีวัยแรงงานเป็นพลังหลัก สู่สังคมผู้สูงอายุเต็มขั้น หรือที่เรียกว่า Super-Aged Society
รายงานจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่าไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์โดยมีสัดส่วนประชากรสูงอายุระหว่าง 20-30% ของทั้งประเทศนั่นหมายความว่า ทุก 5 คนในประเทศไทย จะมี 1 คนเป็นผู้สูงอายุ และพวกเขากำลังกลายเป็นพลังเศรษฐกิจใหม่ หรือที่ทั่วโลกเรียกว่า Silver Economy
ผู้สูงอายุยุคใหม่ไม่ได้ต้องการแค่การรักษาโรค แต่ต้องการคุณภาพชีวิต และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า คนกลุ่มนี้เลยเริ่มมองหาการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ทั้งสมาร์ตวอชติดตามสุขภาพ แอปนัดพบแพทย์ออนไลน์ หรือบริการตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive HealthTech)
Krungsri Research ประเมินว่า Silver Economy ของไทยอาจมีมูลค่าหลายล้านล้านบาทใน 10 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะธุรกิจด้านสุขภาพ อาหาร และเทคโนโลยีดูแลผู้สูงอายุ ซึ่ง Health Tech คือหัวใจของระบบใหม่นี้
นอกจากนี้ ไทยยังมีศักยภาพสูงด้านระบบสาธารณสุข โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ และต้นทุนการรักษาที่ต่ำกว่ายุโรปและสหรัฐ หลายเท่า ทำให้ประเทศถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางการรักษาและสุขภาพของภูมิภาค
รัฐบาลเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย โดยได้วางยุทธศาสตร์สุขภาพดิจิทัลแห่งชาติ พ.ศ. 2564–2568 เพื่อผลักดันระบบสุขภาพไทยสู่ยุคดิจิทัล ตั้งแต่การสร้างฐานข้อมูลสุขภาพกลาง การเชื่อมโยงข้อมูลโรงพยาบาล ไปจนถึงการผลักดัน AI และ Telemedicine ให้เข้าถึงประชาชนทุกจังหวัด
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า แม้ประเทศไทยกำลังแก่ลง…แต่เทคโนโลยีกลับหนุ่มขึ้นทุกวัน และเมื่อคลื่นผู้สูงอายุซัดเข้ามาอย่างเต็มแรง Health Tech อาจเป็นคำตอบสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่สุขภาพไม่ใช่ต้นทุน แต่คือโอกาสของการเติบโตครั้งใหญ่ของชาติ
ถ้าพูดถึงประเทศที่ขับเคลื่อน Health Tech อย่างเป็นระบบที่สุดในเอเชีย ‘สิงคโปร์’ คือชื่อแรกที่หลายคนพูดถึง เพราะที่นั่นไม่ได้มองเทคโนโลยีสุขภาพเป็นเพียงเครื่องมือช่วยแพทย์ แต่เป็น “ยุทธศาสตร์ระดับชาติ” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศ
รัฐบาลสิงคโปร์ได้เปิดตัวโครงการ Singapore National Precision Medicine (NPM) ซึ่งมีเป้าหมายเก็บข้อมูลพันธุกรรมของประชาชนกว่า 1 ล้านคน เพื่อใช้ในการพัฒนาการแพทย์เชิงแม่นยำ (Precision Medicine) ที่ปรับการรักษาให้เหมาะกับร่างกายของแต่ละบุคคลจริงๆ
ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลสุขภาพ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสิ่งแวดล้อม แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วย AI และ Machine Learning เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงโรค เช่น มะเร็ง เบาหวาน หรือโรคหัวใจ ตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ
สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ใช้แนวคิด Population Health ซึ่งมองสุขภาพแบบองค์รวมทั้งสังคม ไม่ใช่เฉพาะผู้ป่วยรายบุคคล และยังลงทุนสร้าง Smart Hospital ที่เชื่อมข้อมูลผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ ลดภาระงานบุคลากรทางการแพทย์และย่นระยะเวลารักษา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแม้ประเทศจะใช้งบสาธารณสุขเพียง 4% ของ GDP แต่บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
แนวคิดนี้เรียกว่า Population Health หรือการดูแลสุขภาพเชิงรุกในระดับประชากร ที่เริ่มจากการป้องกันก่อนป่วยมากกว่าการรักษาเมื่อสายไป
สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มีทรัพยากรมหาศาล แต่สามารถสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่แข็งแรงได้ด้วยการวางแผนระยะยาวและการใช้ข้อมูลอย่างมีมาตรฐาน จุดนี้เองที่ไทยสามารถเรียนรู้ได้โดยตรง เพราะเราก็มีทั้งยุทธศาสตร์สุขภาพดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลสุขภาพระดับประเทศอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องเชื่อมต่อและใช้ให้เกิดคุณค่าจริงๆ เหมือนที่สิงคโปร์ทำสำเร็จ
จากเทรนด์ระดับโลก สู่โอกาสของไทย และบทเรียนจากสิงคโปร์ สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือ ‘สุขภาพ’ กำลังกลายเป็นเศรษฐกิจใหม่ของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล ไม่ใช่แค่การรักษาเมื่อป่วย แต่คือการยืดอายุแห่งคุณภาพชีวิต หรือ Healthspan
และในปี 2026 นี้ Techsauce เตรียมเปิดเวทีเพื่อขับเคลื่อนแนวคิดนั้นผ่านงาน Techsauce Healthspan Festival 2026 มหกรรมสร้างอนาคตสุขภาพดี และเวทีนวัตกรรมเพื่อสุขภาพครบวงจร
นี่ไม่ใช่แค่งานเทคโนโลยีสุขภาพ แต่คือจุดเริ่มต้นของการร่วมออกแบบอนาคตสุขภาพ ที่ไทยจะมีบทบาทสำคัญ เพราะแม้ประเทศเราจะกำลังแก่ลง แต่ในโลกของ Health Tech ไทยกำลัง ‘เกิดใหม่’ อีกครั้ง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด