DeepSeek-R1 โมเดล AI ใหม่จากจีน กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงเทคโนโลยี หลังเปิดตัวในรูปแบบ Open Weight ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนนำไปพัฒนาต่อได้ พร้อมประสิทธิภาพที่เทียบเคียงกับ OpenAI o1 แต่มีต้นทุนถูกกว่ามาก Andrew Ng ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI มองว่า DeepSeek-R1 ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญ 3 ด้านในวงการ AI คือ
ก่อนหน้านี้ หลายคนมองว่าสหรัฐฯ นำหน้าจีนอยู่ไกล โดยเฉพาะหลังจากที่ ChatGPT เปิดตัวในปี 2022 แต่ช่วงสองปีที่ผ่านมา จีนพัฒนาโมเดล AI อย่างต่อเนื่อง เช่น Qwen, Kimi, InternVL และล่าสุด DeepSeek-R1 ทำให้ช่องว่างนี้แคบลงมาก บางด้านอย่าง AI สร้างวิดีโอ จีนอาจจะแซงหน้าสหรัฐฯ ไปแล้วด้วยซ้ำ
DeepSeek-R1 ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพเทียบเคียงกับ OpenAI’s o1 แต่ยังเปิดให้ใช้งานในรูปแบบ Open Weight พร้อมสัญญาอนุญาตแบบ MIT ซึ่งช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถนำไปต่อยอดได้อย่างอิสระ Ng ชี้ให้เห็นว่า ราคาของโทเค็น LLM กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย OpenAI’s o1 มีค่าใช้จ่าย 60 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านโทเค็น ขณะที่ DeepSeek-R1 คิดเพียง 2.19 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน AI มีต้นทุนที่ต่ำลง
ที่ผ่านมาหลายบริษัททุ่มเงินมหาศาลเพื่อพัฒนาโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ DeepSeek-R1 แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมด้านอัลกอริทึม ก็สามารถทำให้ AI ฉลาดขึ้นได้เช่นกัน ทีมงานของ DeepSeek สามารถฝึกโมเดลโดยใช้ชิป H800 ซึ่งแรงน้อยกว่า H100 ได้สำเร็จ โดยใช้ต้นทุนแค่ 6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกมากในวงการ AI
ผลกระทบต่ออนาคต AI และโอกาสของนักพัฒนาการมาของ DeepSeek-R1 อาจเปลี่ยนเกม AI ในระดับโลก เพราะหากจีนเดินหน้าพัฒนาโมเดลแบบเปิดต่อไป ในขณะที่สหรัฐฯ คุมเข้มและจำกัดการเข้าถึง AI Open Source มากขึ้น ก็อาจทำให้จีนกลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI โลก
Ng มองว่า นี่คือช่วงเวลาทองของนักพัฒนา AI ทั่วโลก การที่โมเดล Open Weight มีให้ใช้งานมากขึ้นช่วยเปิดโอกาสให้นักพัฒนาและธุรกิจสามารถนำ AI ไปต่อยอดได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แชตบอทอัจฉริยะ, ระบบช่วยสรุปอีเมล, AI ทางการแพทย์ หรือผู้ช่วยด้านกฎหมาย ซึ่งจะช่วยเร่งนวัตกรรมใหม่ๆ และทำให้ AI กลายเป็นเครื่องมือที่เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับทุกอุตสาหกรรม
อ้างอิง: facebook
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด