iPrice สรุป 3 ไฮไลท์ที่คนไทยพูดถึงมากที่สุดหลังแมทธิวประกาศติดโควิด (Covid-19) | Techsauce

iPrice สรุป 3 ไฮไลท์ที่คนไทยพูดถึงมากที่สุดหลังแมทธิวประกาศติดโควิด (Covid-19)

ตั้งแต่แมทธิว ดีน นักร้องและนักแสดงมากฝีมือออกมาประกาศว่าตนเองติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ Covid-19 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดคลื่นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่กับตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศ เพราะก่อนหน้านั้นคุณแมทธิวได้คลุกคลีอยู่กับค่ายมวยคงสิทธาของตนเอง ประกอบกับประเทศมาเลเซียช่วงเวลานั้นก็มีตัวเลขเคสใหม่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากการชุมนุมกันในมัสยิด ทำให้ชาวใต้บางคนในไทยที่เข้าร่วมด้วยก็ติดเชื้อไวรัสนี้เช่นเดียวกัน นำมาซึ่งการประกาศปิดประเทศรวมถึงปิดกิจการหลายประเภทตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นต้นมา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ ผลที่ตามมาคือผู้คนขาดรายได้ หนักสุดคือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและท่องเที่ยว รวมไปถึงการปิดโรงงานและห้างสรรพสินค้า ทำให้พนักงานหลายคนต้องถูกเลย์ออฟบ้าง ลาไม่จ่ายเงินบ้าง จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้มีผู้เสียหายเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาสู้วิกฤติโควิดนี้

แน่นอนว่ามีผู้เสียผลประโยชน์ก็ย่อมมีผู้ได้ประโยชน์ เพียงแต่วิกฤติโควิดนี้ปราณีธุรกิจออนไลน์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีบริการขนส่งและเดลิเวอรี่ใหม่ ๆ ออกมารองรับความต้องการของลูกค้า ประกอบกับการที่ผู้คนไม่สามารถออกไปนอกบ้านได้อย่างเคย ทำให้การขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ได้รับความนิยมถึงขีดสุด ซึ่ง iPrice ได้สรุป 4 ไฮไลท์ที่คนไทยพูดถึงมากที่สุดหลังแมทธิวประกาศติดโควิด (Covid-19) จนถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 มานำเสนอ ดังนี้

7 สินค้าที่มียอดการค้นหาออนไลน์มากที่สุด (ตั้งแต่ 13 มีนาคม – 17 เมษายน)

A screenshot of a cell phone

Description automatically generated

เมื่อมีเชื้อไวรัสแพร่ระบาดก็เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนต้องหาเครื่องมือป้องกันเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม สินค้าประเภทป้องกันและฆ่าเชื้ออย่างหน้ากากอนามัย, เจลล้างมือ, แอลกอฮอล์ และปรอทวัดไข้จึงเป็นสินค้าที่ต้องติด 1 ใน 7 อย่างแน่นอน ซึ่งนอกจากจะหาซื้อได้ยากแล้ว ราคายังพุ่งขึ้นสูงกว่าเท่าตัว คนส่วนใหญ่จึงเลือกซื้อทางออนไลน์ เพราะสามารถเลือกราคาที่คุ้มค่าที่สุดได้ แถมไม่ต้องกังวลถึงระยะห่างระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเมื่อออกไปซื้อด้วยตนเองอีกด้วย 

แต่ที่น่าแปลกใจคืออีก 3 สินค้าม้ามืดอันได้แก่ บัตตาเลี่ยน, สระว่ายน้ำเป่าลม และจักรเย็บผ้า ที่ดูไม่น่าจะเป็นที่นิยมได้ แต่กลับมีบางสาเหตุที่น่าสนใจซ่อนอยู่ เช่น ผู้คนส่วนใหญ่ที่ซื้อบัตตาเลี่ยนเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพราะผู้ชายเข้าร้านตัดผมเพื่อตัดผมบ่อยกว่าผู้หญิง หากผมยาวเกินความจำเป็นอาจก่อให้เกิดความรำคาญ การซื้อบัตตาเลี่ยนจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ผู้ชายตัดผมได้เองที่บ้าน หรืออีกประการคือซื้อเพื่อตัดผมให้บุตรหลาน โดยปกติเด็กเล็ก ๆ ล้วนไม่ต้องพิถีพิถันกับทรงผมมากนัก เพียงเน้นสั้น และไม่ปกปิดหน้าตาก็พอแล้ว ทำให้บัตตาเลี่ยนเป็นสินค้าที่มีเปอร์เซ็นการค้นหาเพิ่มขึ้นจากปกติถึง 22,333%

ถัดมาคือสระว่ายน้ำเป่าลมที่มียอดผู้ค้นหาสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นอันดับสองถึง 2,749% พบว่ารยอดการค้นหาจะเพิ่มขึ้นช่วงต้นเดือนเมษายนไปจนสิ้นสุดเทศกาลสงกรานต์ไม่นานคือวันที่ 17 เมษายน เหตุเพราะปีนี้ประเทศไทยประกาศให้งดจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด สระว่ายน้ำเป่าลมจึงเป็นไอเท็มราคาถูกที่ช่วยผ่อนคลายความร้อน และสร้างความบันเทิงได้ในระยะเวลาอันสั้น เสริมทับด้วยงานวิจัยจากประเทศฟิลิปปินส์ที่กล่าวถึงความต้องการซื้อสระว่ายน้ำเป่าลมในช่วง Lockdown อีกด้วย 

สุดท้ายคือจักรเย็บผ้าที่มียอดการค้นหาเพิ่มขึ้น 2,540% เหตุเพราะประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย ทั้งสำหรับคนที่ใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป รวมไปถึงบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาเย็บหน้ากากผ้าเพื่อใช้งานเอง เพื่อจำหน่าย และเพื่อบริจาคช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน กลายเป็นเทรนด์แฟชั่นหน้ากากอนามัยระยะสั้น ๆ บางคนก็เอาไปใช้เย็บหมวกกันน้ำลายควบคู่ไปด้วย

การศึกษาข้อมูล iPrice รวบรวมเปอร์เซ็นของสินค้าที่ได้รับการค้นหามากที่สุดจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซกว่า 100 ร้านค้าที่ร่วมขายสินค้าบนเว็บไซต์ www.ipricethailand.com ช่วงระยะเวลา 13 มีนาคม - 17 เมษายน รวมเป็นเวลา 5 สัปดาห์

แต่เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ลดลง คนก็เริ่มสนใจสินค้าเหล่านี้ลดลงด้วยเช่นกัน จากการกักตุนสินค้าเพื่อหวังทำราคา แต่สถานการณ์ในไทยกลับดีขึ้นเร็วเกินคาด สินค้าที่เคยขายดีก็กลายเป็นขายไม่ออก มีล้นสต็อก จนมีข่าวออกมาเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมว่า พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์มากมายต่างออกมาขายเทหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ หรือประกาศแลกกับสินค้าอื่น ๆ ที่ดูมีค่ามากกว่า จนกลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นดราม่าประจำสัปดาห์ ทำเอาหลายคนที่เคยเดือดร้อนเพราะหาซื้อใช้ไม่ได้พากันคว่ำบาตรและไม่ยอมช่วยซื้อสินค้าเหล่านี้ ส่วนสระว่ายน้ำเป่าลม จักรเย็บผ้า และบัตตาเลี่ยนนั้นไม่น่าตกใจ เพราะเป็นของที่สามารถใช้ซ้ำได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อเพิ่มบ่อย ๆ

โดยตัวเลขเฉลี่ยของการค้นหาโดยรวมของสินค้า 7 อย่างนี้ลดลงมากถึง 97% สระว่ายน้ำเป่าลม หน้ากากอนามัย และเจลล้างมือมียอดลดลงเป็นอันดับหนึ่งมากถึง 99% ตามติดมาด้วยจักรเย็บผ้า 98% ปิดท้ายด้วยบัตตาเลี่ยน ปรอทวัดไข้ และแอลกอฮอล์ที่มียอดการค้นหาลดลง 97% 

การศึกษาข้อมูล iPrice รวบรวมเปอร์เซ็นของสินค้าที่ได้รับการค้นหามากที่สุดจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซกว่า 100 ร้านค้าที่ร่วมขายสินค้าบนเว็บไซต์ www.ipricethailand.com ช่วงระยะเวลา 13 มีนาคม - 17 เมษายน รวมเป็นเวลา 5 สัปดาห์ มาเปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลา 17 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2563 หรือหลังจำนวนเคสใหม่ลดลงได้สองสัปดาห์

เปรียบเทียบเงินเยียวยาจากรัฐบาลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ละประเทศช่วยเหลือมากน้อยแค่ไหน

เมื่อรัฐบาลในหลายประเทศประกาศ Lockdown ทำให้ประชาชนขาดรายได้ รัฐจึงได้มอบเงินเยียวยาให้แก่คนในประเทศมากน้อยตามผลกระทบที่ได้รับ โดยฮ่องกงนั้นให้มากที่สุดถึง 10,000 หยวน หรือ 41,000 บาท เพราะมีการระบาดหนักไม่แพ้กับจีน มีความจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน รองมาเป็นประเทศไทยมอบเงินเยียวยา 5,000 บาท นาน 3 เดือน (หรืออาจเป็น 6 เดือนตามความรุนแรงของการระบาด) รวมเป็นเงิน 15,000 บาท อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข่าวว่างบประมาณในส่วนนี้ยังคงกระจายไม่ทั่วถึงสำหรับคนทั้งประเทศ แต่คาดว่าในเร็ววันนี้อาจมีมาตรการช่วยเหลือที่ดีขึ้น ถัดมาคือประเทศสิงคโปร์ที่ประกาศมอบเงิน 600 ดอลลาร์สิงคโปร์หรือราว 13,500 บาท ให้กับประชาชนทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป และมอบคูปองส่วนลดซื้อของใช้จำเป็นบางส่วนเพิ่มเติม แม้จะมอบจำนวนเงินให้ไม่มาก แต่ด้วยความที่เป็นประเทศขนาดเล็กทำให้สามารถกระจายความช่วยเหลือได้ทั่วถึงมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ส่วนประเทศเวียดนามก็ประกาศมอบเงินเยียวยาให้ 190 ดอลลาร์ หรือราว 6,100 บาท แม้จะไม่มีมาตรการเยียวยามากนัก แต่เพราะคนในประเทศตื่นตัวตั้งแต่ไวรัสแพร่ระบาดใหม่ ๆ ประกอบกับรัฐบาลวางแผนป้องกันดีทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุดในภูมิภาค บางวันก็ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มเติม 

การศึกษาข้อมูล iPrice รวบรวมมาตรการเงินเยียวยาของแต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย, มาเลเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และฮ่องกง ข้อมูลทั้งหมดมาจากเว็บไซต์ดังผู้นำเสนอข่าว Covid-19 ในแต่ละประเทศ ค้นหาแหล่งข้อมูลดังกล่าวได้ที่ https://ipricethailand.com/เทรนด/insights/comparing-financial-support-in-sea/

สำรวจความกังวลของชาวต่างชาติที่มีต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19

A screenshot of a cell phone

Description automatically generated

เพราะไวรัสนี้แพร่ระบาดทางระบบหายใจ แค่การสัมผัสหรืออยู่ในบริเวณที่มีผู้ติดเชื้อก็มีโอกาสติดได้ มีข่าวมากมายรายงานถึงการแพร่ระบาดมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ อาจเพราะความเชื่อและการตื่นตัวต่อไวรัสไม่เท่ากัน ทำให้ iPrice บริษัทที่มีพนักงานชาวต่างชาติมากกว่า 25 สัญชาติจัดทำแบบสอบถามเพื่อให้พนักงานแต่ละสัญชาติสำรวจความกังวลของผู้คนในประเทศตนเองที่มีต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 โดยมีข้อสรุปดังนี้

  • เริ่มจากมีคนมากถึง 70% ที่คิดว่าคนป่วยเท่านั้นที่ควรใส่หน้ากากอนามัย และมีเพียง 30% เท่านั้นที่ยอมใส่หน้ากากอนามัยป้องกันโดยที่ตัวเองยังไม่ป่วย มันก็เลยเป็นมหากาพย์การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในยุโรปและอเมริกาที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อนับล้านราย ทั้ง ๆ ที่ต้นกำเนิดของไวรัสมาจากประเทศจีน ทวีปเอเชีย
  • ประเด็นถัดมาคือ มีคนล้างมือบ่อย ๆ เพียง 10% เท่านั้น มั่นใจได้ว่าเมื่อทุกคนออกจากบ้านเกือบ 100% ของทุกคนที่ต้องมีโอกาสสัมผัสของใช้สาธารณะ อาทิ ประตู, ลิฟ และราวจับตามพาหนะโดยสาร สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยหลักของการแพร่เชื้อ จึงไม่แปลกที่เชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่ระบาดไปทั่วโลก นอกจากนั้นยังมีอัตราการล้างมือที่มีความถี่ดังนี้ ล้างสม่ำเสมอ 20%, ไม่บ่อย 5%,ไม่ค่อยบ่อย 45% และบางครั้งที่ 20%
  • และแม้การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 จะลุกลามไปทั่วโลก แต่ยังมีประชาชนบางประเทศที่ไม่ค่อยกังวลถึงความร้ายแรงนี้มากถึง 55% กังวลเล็กน้อย 15% กังวล 20% และกังวลมากเพียง 10% เท่านั้น เห็นได้ชัดเลยว่า ชาวต่างชาติไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองกันเท่าไหร่ หากทุกคนเริ่มที่จะป้องกันจากตนเองก่อน การแพร่ระบาดคงไม่ลุกลามไปทั่วโลกเช่นปัจจุบัน 
  • ด้านการเตรียมความพร้อมในเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคนั้น ผู้คนในแต่ละประเทศให้ความสำคัญค่อนข้างมาก กว่า 30% ที่ตุนสินค้าก่อนรัฐบาลประกาศ Lockdown และกว่า 40% กักตุนตามปกติ เพราะ Super Market ยังคงเปิดอยู่ตลอด แม้สินค้าบางชนิดอาจขาดตลาด มีเพียง 15% ที่ไม่ค่อยกักตุน อีก 5% ไม่กักตุน และ 10% เลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์แทน
  • แม้บางประเทศจะไม่ตระหนักถึงความรุนแรงของไวรัส แต่เพราะผู้นำในหลาย ๆ ประเทศเริ่มที่จะเปลี่ยนการทักทายจากการสัมผัสร่างกายกันเป็นการไหว้ หรือกล่าวทักทายเฉย ๆ ทำให้ประชาชนหลายประเทศปฏิบัติตาม นำมาสู่ผลการสำรวจที่มีเพียง 10% เท่านั้นที่ยังเลือกทักทายโดยการแตะเนื้อต้องตัว โดยที่อีก 90% เริ่มที่จะเปลี่ยนแล้ว 
  • จากการรณรงค์ที่เราเห็นในหลายประเทศในเอเชีย ที่หากพบว่าตัวเองเริ่มมีไข้ให้รีบพบแพทย์ทันที แต่ชาวต่างชาติส่วนใหญ่กว่า 85% ยังเลือกที่จะทำตัวปกติก่อนสัก 1-2 วัน ก่อนไปพบแพทย์เหมือนสถานการณ์ปกติ ในขณะที่อีกกว่า 15% เลือกที่จะรักษาตัวเอง และกักตัวเอง 14 วัน ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิด เพราะเชื้ออาจลุกลามจนยากต่อการรักษา หรือถ้าบุคคลนั้น ๆ อาศัยอยู่กับครอบครัวก็มีความเสี่ยงสูงที่จะแพร่เชื้อให้กับคนใกล้ชิดด้วยเช่นกัน ที่ถูกต้องคือ เมื่อพบว่าตนเองมีไข้ควรรีบพบแพทย์ทันที 

การศึกษาข้อมูล iPrice เก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามจากพนักงาน iPrice Group จำนวน 20 คน 20 สัญชาติ เกี่ยวกับความตื่นตระหนกของการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ช่วงเดือนมีนาคม 2563

 เขียน และวิเคราะห์โดย ขนิษฐา สาสะกุล

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เปิดตัว Samsung Galaxy S25 ซีรีส์ใหม่ล่าสุด มาพร้อม Galaxy AI ผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่ของคนไทย

เปิดประสบการณ์ใหม่กับ Samsung Galaxy S25 Series สมาร์ทโฟน AI แห่งยุคที่มาพร้อมผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ กล้องคมชัด Ultra-Wide 50MP ฟีเจอร์ลบเสียงรบกวนขั้นเทพ ดีไซน์หรูทนทาน ใช้พลังงาน...

Responsive image

นายกฯ โชว์ Soft Power อาหารไทยในงาน World Economic Forum 2025 ที่ Davos

ต้มยำกุ้งไทยโดดเด่นใน World Economic Forum 2025 ที่ดาวอส! นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ชู Soft Power ด้านอาหารไทย พร้อมดึงดูดนักลงทุนด้วยนวัตกรรมเกษตรกรรมและศักยภาพเศรษฐกิจไทย...

Responsive image

ตะลุย Davos ส่อง 5 ประเด็นหลัก ใน World Economic Forum

สำรวจประเด็นสำคัญจากงาน World Economic Forum 2025 ที่ Davos เวทีประชุมระดับโลกที่รวมผู้นำหลากหลายวงการ เพื่อหารือเรื่องเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม พร้อมบทบาทไทยในเวทีนานาชาติ...