AddVentures เผยแนวโน้มโลกหันสนใจ Startup ด้าน B2B แนะ 3 ปัจจัยเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ | Techsauce

AddVentures เผยแนวโน้มโลกหันสนใจ Startup ด้าน B2B แนะ 3 ปัจจัยเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ

AddVentures by SCG เผยแนวโน้มโลกเข้าสู่ยุคสตาร์ทอัพด้าน B2B หลังสตาร์ทอัพ B2C หลายรายโตเต็มวัยและขึ้นแท่นครองตลาดไปแล้ว แนะปัจจัยตอบโจทย์ Pain Point เอื้อผลิตเทคโนโลยีโดนใจภาคธุรกิจ-ผู้บริโภค ชูเทรนด์มาแรงด้าน B2B พร้อมจับตาบทบาทจีนในอาเซียน ต่อยอดสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์กับ Startup กว่า 40 ราย เพื่อสนับสนุน Ecosystem ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

Joshua Pas, Ph.D - Managing Director of AddVentures by SCG

ดร.จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ AddVentures by SCG เปิดเผยว่า แนวโน้มของโลกขณะนี้ มีสตาร์ทอัพที่ผลิตเทคโนโลยีตอบโจทย์การทำงานของภาคธุรกิจต่อภาคธุรกิจ (B2B: Business-2-Business) มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา สตาร์ทอัพส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการผลิตเทคโนโลยีตอบโจทย์ภาคธุรกิจต่อผู้บริโภค (B2C: Business-2-Corporate) จนปัจจุบันหลายรายสามารถเติบโตกลายเป็นสตาร์ทอัพขนาดใหญ่ ขึ้นแท่นเจ้าตลาดในเซ็กเตอร์ของตัวเอง ส่วนผู้เล่นรายใหม่ต้องแข่งขันกับเจ้าตลาดเดิม แตกต่างจากด้าน B2B ที่ยังมีช่องว่างให้สตาร์ทอัพเข้ามาเติบโตได้อีกมาก

อย่างไรก็ตาม การจะพัฒนาสตาร์ทอัพด้าน B2B นั้น มีความท้าทายค่อนข้างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องมีผู้ที่เคยมีประสบการณ์โดยตรงและมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมมาร่วมทำงาน เพื่อให้สามารถเข้าใจกระบวนการต่างๆ และสามารถหาวิธีมาช่วยแก้ปมปัญหาหลัก (Pain Point) ของอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้อย่างตรงจุด

ดร.จาชชัว กล่าวว่า

ความท้าทายของสตาร์ทอัพกลุ่ม B2B เมื่อเทียบกับกลุ่ม B2C คือ ลูกค้าในกลุ่ม B2B มักเคยชินกับพฤติกรรมและรูปแบบการทำงานแบบเดิมๆ จนเปลี่ยนแปลงได้ยาก อีกทั้งยังมีพฤติกรรมและปัจจัยการซื้อสินค้าแตกต่างจากกลุ่ม B2C ทำให้สตาร์ทอัพกลุ่ม B2B มักเจอกับปัญหาที่ซับซ้อนกว่าและใช้เวลานานกว่าในการแก้ไข Pain Point

ดังนั้น จึงมีหลายปัจจัยที่สตาร์ทอัพกลุ่ม B2B ควรให้ความสำคัญ เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ เช่น

  1. เป็นเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่มีคุณค่าในการนำเสนอต่อลูกค้า (Value Proposition) ได้อย่างชัดเจน สามารถใช้งาน ต่อยอด หรือประยุกต์ใช้กับระบบต่างๆ ขององค์กรได้ง่าย
  2. สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ Return on Investment ได้อย่างรวดเร็ว และ
  3. ไม่มีต้นทุนหรือต้นทุนต่ำในเรื่องการเปลี่ยนผู้ให้บริการ

นอกจากนี้ ปัจจุบันในเวทีโลกยังมีเรื่องที่กำลังมาแรงในแวดวงสตาร์ทอัพด้าน B2B ได้แก่

  1. Data Analytics
  2. Internet of Things (IoT
  3. Artificial intelligence (AI) และ Machine Learning (ML)
  4. Blockchain และ
  5. อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0)

โดยทั้งหมดนี้ จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการช่วยให้การดำเนินงานระหว่างภาคธุรกิจต่อธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขณะที่ในฝั่งของอาเซียนนั้น คาดว่าแนวโน้มเรื่อง AI ด้าน B2B จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอาเซียนนั้นถือเป็นศูนย์กลางการผลิตในหลากหลายอุตสาหกรรม และยังต้องการ AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการขาดประสิทธิภาพในโรงงาน

ทั้งนี้ จีนถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีการเติบโตของสตาร์ทอัพอย่างน่าจับตามอง เช่น เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม 4.0 และเป็นเรื่องน่าสนใจว่าจีนในฐานะประเทศใกล้ชิดของภูมิภาคนี้ จะเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในอาเซียนอย่างไรบ้าง จีนจึงถือเป็นประเทศที่ AddVentures ให้ความสำคัญและจับมองการเติบโตของสตาร์ทอัพอย่างใกล้ชิด

ขณะที่สตาร์ทอัพ 3 กลุ่มหลักด้าน B2B ที่ AddVentures จับตามองเป็นพิเศษ ได้แก่

  1. กลุ่ม B2B Online Commerce
  2. กลุ่มโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน (Logistics & Supply chain) และ
  3. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงินในห่วงโซ่อุปทานและสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บน Blockchain

ดร.จาชชัว กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน AddVentures ได้เดินหน้าสร้างความร่วมมือกับสตาร์ทอัพแล้วกว่า 40 ราย ในลักษณะพันธมิตรทางการค้า (Commercial Partnership) เกือบทั้งหมดเป็นสตาร์ทอัพด้าน B2B โดย AddVentures จะทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวเชื่อมระหว่างสตาร์ทอัพและเอสซีจี รวมไปถึงบริษัทในเครือของเอสซีจีกว่า 300 บริษัท โดยเริ่มจากการทดลองเป็นลูกค้าของเอสซีจีก่อน และทำงานร่วมกันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยมีทั้งโปรเจกต์ที่อยู่ในช่วงของการทำ Pilot Project และบางโปรเจกต์ที่เล็งเห็นว่าสามารถต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจ รวมไปถึงการพิจารณาการลงทุนต่อไปในอนาคต

“การจะพิจารณาลงทุนในสตาร์ทอัพด้าน B2B ของเรา ยังคงยึดมั่นวิสัยทัศน์ You Innovate, We Scale ลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาของทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค ควบคู่กับการยกระดับสตาร์ทอัพอีโคซิสเท็มผ่านการเชื่อมโยงคนทุกกลุ่มเข้าหากัน เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งภาคธุรกิจ ผู้บริโภค ตัวสตาร์ทอัพ รวมถึง AddVentures ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยีนั้น และเมื่อทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ การเติบโตที่เกิดขึ้นก็จะเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน” ดร.จาชชัว กล่าวปิดท้าย

สำหรับ AddVentures โดยเอสซีจี เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อกลางปี 2560 ก่อตั้งขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์หลักคือ ส่งเสริมศักยภาพและลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งไทยและทั่วโลก เพื่อให้เอสซีจีสามารถเชื่อมโยงนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน รวมทั้งยังทำให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าและบริการที่ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น ตอบโจทย์การยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น มีแผนในการลงทุนทั้งการลงทุนผ่านกองทุน (Venture Capital) และการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในสตาร์ทอัพทั้งในไทย อาเซียน และศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของโลก เช่น ซิลิคอนวัลเลย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา, เทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล, เสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ Industrial, B2B และ Enterprise ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจหลัก 3 กลุ่มของเอสซีจี ได้แก่ ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง,  ธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ททท. x TikTok หนุนครีเอเตอร์ ร่วมฝึกคน ททท. เล่าเรื่องเมืองไทย เพิ่มรายได้เข้าท้องถิ่น

เจาะความร่วมมือระหว่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ TikTok ในด้านวิธีส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ทั้งการดึงครีเอเตอร์ทั้งไทยและเทศ มามีส่วนร่วมมากขึ้น, การพั...

Responsive image

True IDC จับมือ Siam AI Cloud ยกระดับ AI Ecosystem ไทยสู่ระดับโลก

ทรู ไอดีซี และ สยามเอไอคลาวด์ ร่วมมือพัฒนาระบบนิเวศ AI ของไทย ครอบคลุมดาต้าเซ็นเตอร์ AI โมเดล และบริการ AI-as-a-Service มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคอย่างยั่งยืน...

Responsive image

OpenAI ปล่อย ChatGPT o1 ตัวเต็ม เจาะกลุ่ม STEM ใช้ได้บน ChatGPT Pro ราคาราว 6,800 บาท

OpenAI ฉลองเทศกาลคริสต์มาส 2024 ด้วยแคมเปญพิเศษ "12 Days of OpenAI" เปิดตัวโมเดล o1 และ ChatGPT Pro พร้อมอัปเดตความสามารถใหม่ รองรับการใช้งาน AI ขั้นสูงสุดในอุตสาหกรรมต่าง ๆ...