AI พบร่องรอยสิ่งมีชีวิตในหินอายุ 3.3 พันล้านปี ชี้โลกเริ่มสังเคราะห์แสงเร็วกว่าที่คิด 800 ล้านปี

AI พบร่องรอยสิ่งมีชีวิต

ทีมนักวิจัยใช้เทคโนโลยีเคมีขั้นสูงร่วมกับ AI ตรวจสอบหินโบราณอายุ 3.3 พันล้านปี จนพบหลักฐานยืนยันว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในยุคนั้นจริง และยังพบว่า การสังเคราะห์แสง อาจเกิดขึ้นบนโลกเร็วกว่าที่ประวัติศาสตร์เคยบันทึกไว้ถึง 800 ล้านปี

ก่อนหน้านี้หลักฐานของสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง คือฟอสซิลในหินอายุ 3.48 พันล้านปี จากแหล่ง Dresser Formation ในออสเตรเลีย ซึ่งเชื่อว่าเป็นร่องรอยของเยื่อหุ้มเซลล์โบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้ในตะกอนน้ำพุร้อน

แต่การค้นพบแบบนั้นคือ "ข้อยกเว้น" ที่หาได้ยากมาก เพราะโลกในยุคแรกเริ่ม (ก่อน 500 ล้านปีก่อน) เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสาหร่าย ซึ่งไม่มีกระดูกหรือเปลือกแข็งให้กลายเป็นฟอสซิลได้ ยิ่งไปกว่านั้นหินตะกอนส่วนใหญ่ยังถูกบดอัดและหลอมละลายผ่านกาลเวลาจนร่องรอยทางชีวภาพแทบไม่เหลือให้เห็น

ใช้ AI แกะรอย “ลายนิ้วมือทางเคมี” ที่มองไม่เห็น

ทีมวิจัยนำโดยสถาบัน Carnegie จึงเลือกใช้วิธีที่แตกต่าง พวกเขาสร้างฐานข้อมูลทางเคมีมหาศาลจากตัวอย่างกว่า 400 ชิ้น ทั้งหินโบราณ ฟอสซิล และสิ่งมีชีวิตยุคปัจจุบัน เพื่อนำไปฝึกฝน AI ให้มองหา รูปแบบทางเคมี (Chemical Patterns)

แทนที่จะมองหาแค่ธาตุเดี่ยวๆ อย่างคาร์บอน ซึ่งอาจเกิดจากภูเขาไฟระเบิดหรืออุกกาบาต AI จึงถูกสอนให้มองหาความซับซ้อนที่เป็นเอกลักษณ์ของสิ่งมีชีวิต เพราะเซลล์ของสิ่งมีชีวิตจะผลิตโมเลกุลเฉพาะทางออกมาในปริมาณมาก ไม่กระจัดกระจายเหมือนกระบวนการทางธรรมชาติทั่วไป

ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์

สิ่งที่ AI ค้นพบสร้างความฮือฮาให้กับวงการวิทยาศาสตร์:

  • พบร่องรอยชีวิตในหิน 3.3 พันล้านปี: ซึ่งเป็นหลักฐานทางเคมีที่เก่าแก่กว่าสถิติเดิม (1.7 พันล้านปี) ถึงเกือบเท่าตัว
  • พบหลักฐานการสังเคราะห์แสง: ข้อมูลชี้ว่าสิ่งมีชีวิตเริ่มใช้แสงอาทิตย์ในการสร้างพลังงานมาอย่างน้อย 2.5 พันล้านปีแล้ว ซึ่งเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยเข้าใจถึง 800 ล้านปี

Robert Hazen นักธรณีเคมีหนึ่งในทีมวิจัยพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า:

ผลวิจัยบอกเราว่า สิ่งมีชีวิตโบราณไม่ได้ทิ้งไว้แค่ซากฟอสซิล แต่ยังทิ้ง ‘ร่องรอยทางเคมี’ เอาไว้ด้วย ซึ่งเทคโนโลยี Machine Learning ช่วยให้เราตรวจจับและเข้าใจความหมายของร่องรอยพวกนี้ได้เป็นครั้งแรก

แน่นอนว่าความสำเร็จนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่บนโลก วิธีการนี้อาจถูกนำไปใช้ตรวจสอบหินอายุ 4.2 พันล้านปีในแคนาดาที่ยังเป็นปริศนา และที่น่าตื่นเต้นกว่านั้น คือการนำไปใช้ในภารกิจสำรวจอวกาศ เพื่อสแกนหาเสียงสะท้อนของสิ่งมีชีวิต ในก้อนหินบนดาวอังคาร หรือใต้น้ำแข็งของดวงจันทร์ยูโรปา (Europa) ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะตอบคำถามว่า เราอยู่ตามลำพังในจักรวาลหรือไม่

อ้างอิง: forbes

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

จีนพัฒนา ‘Vision Heat’ เซนเซอร์มองทะลุควัน-หมอก ความละเอียด 4K ไม่ต้องใช้ความเย็น เห็นภาพความร้อนเหมือนตาของงู!

นักวิจัยจีนพัฒนาเซนเซอร์อินฟราเรด 4K แรงบันดาลใจจากตาของงู ใช้ Quantum Dots ผสาน CMOS ทำงานได้ที่อุณหภูมิห้อง เตรียมปฏิวัติกล้องสมาร์ทโฟนและรถไร้คนขับให้มองเห็นทะลุความมืดและหมอกคว...

Responsive image

เด็ก 19 สร้างนวัตกรรม ถุงมือพิมพ์งานในอากาศ จากการเรียนคอร์สออนไลน์ฟรี MIT จนคว้ารางวัล SxSW Sydney 2025

พบกับ Freesia Gaul เด็กวัย 19 ที่ย้ายโรงเรียนถึง 13 ครั้ง แต่ใช้คอร์สเรียนฟรีจาก MIT สร้างถุงมือ VR พิมพ์งานกลางอากาศจนคว้ารางวัล SxSW และเปิด Startup ได้สำเร็จ...

Responsive image

Google Labs เปิดตัว ‘CC’ AI Agent สาย Productivity เลขาส่วนตัวอัจฉริยะ สรุปงาน–ส่งเมล–นัดประชุมให้เสร็จในคลิกเดียว

Google Labs เปิดตัว ‘CC’ AI Agent ผู้ช่วยสาย Productivity ที่เชื่อม Gmail, Calendar และ Drive เข้าด้วยกัน ช่วยสรุปงาน ร่างอีเมล และจัดการนัดหมายแบบอัตโนมัติ เปลี่ยน Inbox ให้กลายเป...