“กฎหมายที่ดีต้องคุ้มครองสิทธิประชาชน และต้องทันต่อโลกที่หมุนเร็ว”
ถ้อยคำของ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สะท้อนให้เห็นว่า ระบบกฎหมายไทยไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป
ในยุคที่เทคโนโลยีวิ่งเร็วกว่าการออกกฎหมาย โลกของกฎหมายไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ และหนึ่งในหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ AI และ แพลตฟอร์มดิจิทัลจาก Microsoft

ประเทศไทยมี กฎหมายมากกว่า 70,000 ฉบับ ทั้งพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และประกาศต่าง ๆ แต่ปัญหาคือ:
จากแนวคิดของ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เสนอว่า การพัฒนากฎหมายยุคใหม่ต้องพิจารณา 3 ส่วนไปพร้อมกัน:
นอกจากนี้ยังต้องเปิดให้ ประชาชนมีส่วนร่วม ในการเสนอความเห็นต่อร่างกฎหมายผ่านช่องทางดิจิทัล และมีระบบตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใส
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ตระหนักดีว่าปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ด้วยวิธีเดิม ๆ ได้อีกต่อไป จึงได้วางวิสัยทัศน์ใหม่ว่า "ระบบกฎหมายไทยต้องทันสมัย ยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และเข้าถึงได้ง่าย"
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นพร้อมกับเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น คือ การผลักดันประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสมาชิกของ OECD ซึ่งหมายถึงต้องปรับปรุงทั้งระบบกฎหมายให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล น่าเชื่อถือ และเปิดรับความร่วมมือระหว่างประเทศ
เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ OCS ได้พัฒนา ระบบ TH2OECD ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเปรียบเทียบกฎหมายอัจฉริยะ โดยใช้ เทคโนโลยีจาก Microsoft Azure OpenAI ร่วมกับบริษัท STelligence
ความสามารถของระบบ TH2OECD:
ระบบนี้ทำงานบน Microsoft Azure ซึ่งเป็นระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย มีเสถียรภาพ และรองรับข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้การเก็บ รวบรวม และสืบค้นกฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
จากเดิมที่ใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีในการเปรียบเทียบกฎหมายไทยกับมาตรฐานสากล วันนี้สามารถทำได้ ในไม่กี่ชั่วโมง Microsoft ช่วยให้สำนักงานกฤษฎีกา เปลี่ยนระบบกฎหมายจาก "ดิจิทัลแบบกระดาษ" ไปสู่ "ดิจิทัลแบบฉลาด" (Smart Legal System)
ความคืบหน้าล่าสุดของ TH2OECD :
เฟสที่ 1: เสร็จสิ้นแล้ว โดยเป็นการนำ AI มาช่วยแปลกฎหมายไทยเป็นภาษาอังกฤษ และเปรียบเทียบกับกฎหมายมาตรฐานของ OECD กว่า 260 ฉบับ
เฟสที่ 2 และต่อไป: มีการขอเพิ่มประมาณ 11 ล้านบาท สำหรับปี 2568 เพื่อพัฒนาระบบคำแนะนำอัจฉริยะ และ Search Engine อาทิ
ในการขับเคลื่อนโครงการ TH2OECD ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องการปรับปรุงระบบกฎหมายไทยให้ทันสมัยและเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล หนึ่งในผู้เล่นสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จคือ STelligence สตาร์ทอัพเทคโนโลยีของคนไทยที่เข้ามาช่วยวางระบบ ใช้ AI และเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้การแปล วิเคราะห์ และเทียบเคียงกฎหมายกว่า 70,000 ฉบับกลายเป็นเรื่องที่ทำได้รวดเร็วและแม่นยำ
STelligence มีบทบาทหลักในการพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์เข้าใจภาษากฎหมายไทย ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเป็นภาษาที่ซับซ้อน ใช้ถ้อยคำเฉพาะ และไม่เหมือนภาษาพูดทั่วไป งานที่พวกเขาทำเริ่มตั้งแต่การแปลงไฟล์กฎหมายที่เคยเป็น PDF ให้กลายเป็นข้อมูลที่เครื่องประมวลผลได้ ไปจนถึงการพัฒนา AI ที่สามารถแปลกฎหมายไทยเป็นอังกฤษ
และไม่ใช่แค่แปลคำต่อคำ แต่ยังพัฒนาระบบที่สามารถจับคู่ความสอดคล้องหรือช่องว่างระหว่างกฎหมายสองชุดนี้ได้อัตโนมัติ
นอกจากนี้ STelligence ยังร่วมออกแบบระบบค้นหากฎหมายที่ชาญฉลาด ซึ่งเปรียบได้กับ Google แต่เฉพาะทางด้านกฎหมาย ระบบนี้จะช่วยให้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนทั่วไปสามารถค้นหาข้อมูลกฎหมาย คำวินิจฉัย หรือข้อเสนอแนะจากหน่วยงานรัฐได้อย่างสะดวก แม่นยำ และรวดเร็ว จากเดิมที่ต้องค้นจากเอกสารกระจัดกระจายหรือใช้เวลาหลายเดือน
หากโครงการนี้สำเร็จ ประเทศไทยจะกลายเป็นต้นแบบของ Legal Transformation สำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการปรับปรุงระบบกฎหมายให้ทันสมัยโดยไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด