ถ้าเราสามารถใช้มือถือ รับสายจากเบอร์แปลก หรือเปิดลิงก์ที่ส่งมาทาง SMS ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกโกง นี่คือโลกที่หลายคนอยากให้เกิดขึ้นจริง และปีนี้ประเทศไทยกำลังเดินหน้าอย่างจริงจังสู่เป้าหมายนั้น ด้วยการประกาศให้ปี 68 เป็น “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์”
โดยการผนึกกำลังในครั้งนี้มี AIS เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญ ร่วมกับ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กสทช.และองค์กรอีกกว่า 100 แห่ง ทั้งหมดนี้กำลังทำงานร่วมกันภายใต้นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อสกัดภัยไซเบอร์ที่ไม่ใช่แค่สร้างความเสียหายส่วนบุคคล แต่กระทบถึงระดับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ
เมื่อภัยไซเบอร์เริ่มรุนแรงขึ้นทุกวัน ทั้งรูปแบบที่แนบเนียน และเทคโนโลยีที่ใช้ล้ำหน้าไปไกล AIS จึงไม่ได้แค่ให้บริการสัญญาณมือถือ แต่ลุกขึ้นมามีบทบาทระดับชาติ ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อทำให้โลกดิจิทัลปลอดภัยขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
เพราะ “โจรยุคนี้” ไม่ได้เดินถือปืนเข้าร้านทอง แต่แค่ปลอมตัวเป็นธนาคาร ส่ง SMS มาหาเรา แล้วก็ขโมยเงินในบัญชีแบบไม่ต้องออกจากบ้าน
ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยสถิติการสแกมว่า ตั้งแต่ปี 2565 ถึงเมษายน 2568 มีคดีออนไลน์กว่า 887,000 คดี ความเสียหายรวมเกือบ 89,000 ล้านบาท เฉลี่ยวันละ 77 ล้านบาท ยิ่งตอกย้ำว่าภัยเหล่านี้มันเกิดขึ้นในทุกจังหวัด ทุกวัน และทุกช่วงเวลา ซึ่งอาวุธของมิจฉาชีพยุคดิจิทัลก็มาในหลากหลายรูปแบบที่เราอาจจะคาดไม่ถึง อาทิ
ในเวที “Zero Scam Thailand” เราได้เห็นของจริงที่โจรใช้ SIM Box, False Base Station, Deepfake ที่นำตัวอย่างมาให้ดูกันสดๆ แต่สิ่งที่ Techsauce เห็นว่าน่าสนใจคือ AIS ไม่ได้รอให้ภัยไซเบอร์ลุกลามก่อนค่อยขยับ แต่เลือกที่จะ “เริ่มก่อน” แล้วใช้บทบาทของตัวเองในการเชื่อมทุกภาคส่วนให้มาร่วมมือกัน
เบื้องหลังการประกาศสงครามกับมิจฉาชีพไซเบอร์ของ AIS ไม่ใช่แค่ “เอาจริงเอาจัง” แต่คือการออกแบบกลยุทธ์อย่างมีระบบ ภายใต้โมเดล 3 ประสาน ที่พยายามสร้างผลกระทบทั้งระดับบุคคล องค์กร และระบบนิเวศดิจิทัลทั้งประเทศ
เพราะการป้องกันที่ดีที่สุด คือการไม่ตกเป็นเหยื่อตั้งแต่แรก AIS จึงให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความรู้ในทุกระดับ ผ่านกิจกรรมและเครื่องมือที่ออกแบบมาให้เข้าใจง่ายและใช้งานได้จริง
AIS เชื่อว่าการแก้ปัญหาไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องของใครคนเดียว แต่ต้องมี “ภาคีร่วมรบ” ที่เห็นภาพเดียวกัน และเดินหน้าไปด้วยกัน
ความร่วมมือเหล่านี้ทำให้ระบบการป้องกันภัยไซเบอร์ไม่ได้หยุดแค่ “การแจ้งเตือน” แต่มีการลงมือจริง ตั้งแต่ปรับกฎหมายไปจนถึงการจับกุมผู้กระทำผิด
สุดท้าย สิ่งที่ AIS ทำได้ดีมากคือการ “จุดประกาย” ให้สังคมลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่รอให้รัฐหรือโอเปอเรเตอร์จัดการ
เพราะในวันที่ภัยไซเบอร์กลายเป็นเรื่องของทุกคน คำว่า "ให้สัญญาณแรง" อาจไม่พออีกต่อไป ความท้าทายใหม่คือการทำให้ผู้คน "มั่นใจ" ว่าสัญญาณที่ใช้จะไม่พาอาชญากรรมมาหาเขาโดยไม่รู้ตัว
จากสิ่งที่เราได้เห็นในภาคสนาม ทั้งในงาน “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” Zero Scam Thailand และการเคลื่อนไหวต่อเนื่องของ AIS โมเดล 3 ประสานนี้ไม่ใช่แค่แนวคิดบนกระดาษ แต่คือกรอบการทำงานที่มีคนจริง องค์กรจริง
และถ้าโมเดลนี้สามารถขยายผลไปสู่แพลตฟอร์มอื่น หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสังคมไทยในยุคดิจิทัลก็เป็นได้
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด