ก่อนหน้านี้ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จากประเทศสหรัฐอเมริกาในรัฐเวอร์มอนต์อย่าง Bernie Sanders โจมตีและวิจารณ์บริษัท E-Commerce ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 1 ของโลกอย่าบริษัท Amazon โดยระบุว่า บริษัทจ่ายเงินค่าจ้างโดยเฉลี่ยเพียง 7.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมง ซึ่งต่ำกว่าบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันถึง 9 เปอร์เซ็นต์, บริษัทเน้นการจ้างงานแบบสัญญาชั่วคราวมากกว่าจ้างประจำ เพื่อลดสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงาน, ไม่ได้ให้สวัสดิการที่ดีพอแก่พนักงานจ้างช่วงวันหยุดยาว 100,000 คน และยังพูดถึงเรื่องเมื่อปี 2013 ที่มีพนักงาน Amazon 7 คน เสียชีวิตระหว่างการทำงานหรือใกล้กับสถานที่ทำงานของพวกเขาอีกด้วย
ล่าสุด Amazon คงนิ่งเฉยกับคำวิจารณ์ดังกล่าวไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของบริษัทตัวเองในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นจาก 7.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 325 บาท) ต่อวัน เป็น 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 489 บาท) ต่อชั่วโมง ส่วนค่าแรงขั้นต่ำของ Amazon ในสหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้นเป็น 15 ปอนด์ (ุ634 บาท) โดยมีผลทั้งพนักงานประจำและลูกจ้างชั่วคราวของบริษัท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งการปรับค่าแรงครั้งนี้มีผลต่อพนักงานบริษัทในเครือด้วย เช่น ร้านซูเปอร์มาร์เก็ต Whole Foods
“เราได้ฟังเสียงผู้วิจารณ์แล้วไตร่ตรองอย่างหนักหน่วงเกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องการทำ และได้ตัดสินใจแล้วว่าเราจะเป็นผู้นำในเรื่องนี้” Jeff Bezos, Founder and CEO ของ Amazon กล่าว ซึ่งหลังจากการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำของ Amazon ได้ถูกประกาศออกมา Bernie Sanders ก็ออกมาแนะนำให้อีกหลายๆ บริษัทก็ควรจะดำเนินการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำตามที่ Amazon ทำด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน Amazon มีลูกจ้างทั่วโลกกว่า 575,000 คน โดยค่าแรงต่อปีของพนักงานจะแตกต่างกันไปในแต่ละเมืองและรัฐในสหรัฐฯ ซึ่งค่ามัธยฐานของค่าแรงอยู่ที่ 28,446 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 900,000 บาทต่อปี
อ้างอิงข้อมูลจาก Amazon, CNET และ The Guardian
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด