Apple แบนแอปและโฆษณาบนแอปของ iOS ที่ขุด Cryptocurrency ทั้งหมดแล้ว

Apple แบนการขุด Cryptocurrency บนอุปกรณ์ iPhone และ iPad ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS โดยมีการเปลี่ยนข้อความใน App Store Review Guideline เช่น โฆษณาบนแอปจะไม่มีการขุด Cryptocurrency อยู่เบื้องหลัง, แอปจะไม่สามารถขุด Cryptocurrency ได้ เป็นต้น

Photo: JESHOOTScom, Pixabay

Apple เปลี่ยนแปลง App Store Review Guideline ซึ่งเป็นข้อตกลงสำหรับนักพัฒนาแอปพลิเคชันบนระบบปฎิบัติ iOS ที่ใช้บนอุปกรณ์อย่าง iPhone และ iPad ในหลายส่วน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency ในหลายส่วน

ในส่วน "Hardware Compatibility" เพิ่มข้อความที่ระบุว่า "แอปที่ประกอบด้วย Third Party Advertisements ที่แสดงผลภายในแอป จะไม่สามารถดำเนินการอะไรที่เกี่ยวข้องกับ Background Process ได้อีกต่อไป เช่น Cryptocurrency Mining"

และยังมีการเพิ่มส่วนของ "Cryptocurrencies" เข้ามา โดยมีความข้อความเพิ่มเติมดังนี้

  • Wallets: แอปจะอำนวยความสะดวกให้แก่การจัดเก็บ Virtual Currency ได้ โดยจะต้องเป็นนักพัฒนาที่มาจากองค์กรหรือบรษัทเท่านั้น
  • Mining: แอปจะไม่สามารถขุด Cryptocurrency ได้ ยกเว้นว่าถ้ากระบวนการดังกล่าวไม่ได้อยู่บนอุปกรณ์ที่กำลังใช้อยู่ เช่น การขุด Cryptocurrency อยู่บนระบบ Cloud (Cloud-based Mining)
  • Exchanges: แอปจะอำนวยสะดวกแก่การทำธุรกรรมหรือการเคลื่อนย้าย Cryptocurrency บนตลาดแลกเปลี่ยนที่ได้รับการอนุญาตแล้วได้ โดยต้องทำการแลกเปลี่ยนภายในตลาดของตัวเองเท่านั้น
  • Initial Coin Offerings: แอปที่สนับสนุน Initial Coin Offerings (ICOs), การเทรด Cryptocurrency ในตลาดฟิวเจอร์ส และ บริษัทหลักทรัพย์ด้าน Cryptocurrency หรือ การเทรดที่เหมือนมาจากบริษัทหลักทรัพย์ ต้องมาจากบริษัทหลักทรัพย์, ตัวแทนซื้อขายในตลาดฟิวเจอร์ส หรือ Futures Commission Merchants (FCM), หรือสถาบันการเงินอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตแล้ว และต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่บังคับใช้ทั้งหมด
  • แอปที่เกี่ยวกับ Cryptocurrency อาจจะทำบางอย่างได้ไม่สมบูรณ์ เช่น การดาวน์โหลดแอปอื่นๆ เข้ามา, สนับสนุนให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปอื่นๆ, โพสต์สิ่งต่างๆ ลง Social Network เป็นต้น

ในปี 2018 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Google และ Facebook ก็เปลี่ยนนโยบายหลายอย่างเพื่อไม่สนับสนุนการขุด Cryptocurrency ผ่านแอปและโฆษณามากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกังวลเรื่องของประสิทธิภาพในการใช้งานคอมพิวเตอร์และมือถือจะของผู้ใช้งานลดลงไปนั่นเอง


อ่านประกอบ


คาดว่า Apple คงมีความกังวลเหมือนกับสองบริษัทที่กล่าวไปข้างต้น และเปลี่ยนนโยบายบางอย่างไปด้วยเช่นกัน

อ้างอิงข้อมูลจาก Apple, AppleInsider และ Ars Technica

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

จีนพัฒนา ‘Vision Heat’ เซนเซอร์มองทะลุควัน-หมอก ความละเอียด 4K ไม่ต้องใช้ความเย็น เห็นภาพความร้อนเหมือนตาของงู!

นักวิจัยจีนพัฒนาเซนเซอร์อินฟราเรด 4K แรงบันดาลใจจากตาของงู ใช้ Quantum Dots ผสาน CMOS ทำงานได้ที่อุณหภูมิห้อง เตรียมปฏิวัติกล้องสมาร์ทโฟนและรถไร้คนขับให้มองเห็นทะลุความมืดและหมอกคว...

Responsive image

เด็ก 19 สร้างนวัตกรรม ถุงมือพิมพ์งานในอากาศ จากการเรียนคอร์สออนไลน์ฟรี MIT จนคว้ารางวัล SxSW Sydney 2025

พบกับ Freesia Gaul เด็กวัย 19 ที่ย้ายโรงเรียนถึง 13 ครั้ง แต่ใช้คอร์สเรียนฟรีจาก MIT สร้างถุงมือ VR พิมพ์งานกลางอากาศจนคว้ารางวัล SxSW และเปิด Startup ได้สำเร็จ...

Responsive image

Google Labs เปิดตัว ‘CC’ AI Agent สาย Productivity เลขาส่วนตัวอัจฉริยะ สรุปงาน–ส่งเมล–นัดประชุมให้เสร็จในคลิกเดียว

Google Labs เปิดตัว ‘CC’ AI Agent ผู้ช่วยสาย Productivity ที่เชื่อม Gmail, Calendar และ Drive เข้าด้วยกัน ช่วยสรุปงาน ร่างอีเมล และจัดการนัดหมายแบบอัตโนมัติ เปลี่ยน Inbox ให้กลายเป...