บิ๊กซี รีเทล เผย Q1/66 รายได้รวม 2.74 หมื่นลบ. กำไรโต 17.6% รับเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวฟื้นตัว | Techsauce

บิ๊กซี รีเทล เผย Q1/66 รายได้รวม 2.74 หมื่นลบ. กำไรโต 17.6% รับเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวฟื้นตัว

“บิ๊กซี รีเทล (BRC)” โชว์ผลประกอบการแกร่งในไตรมาส 1/2566 รายได้รวมกว่า 27,400 ล้านบาท กำไรโตกว่า 17.6% รับเศรษฐกิจและท่องเที่ยวฟื้นตัว สำหรับ Q2/66 บริษัทฯเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)

บิ๊กซี รีเทลบริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “BRC” บริษัท Flagship ด้านธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และธุรกิจค้าส่งและสนับสนุนการค้าปลีกแบบดั้งเดิมของกลุ่มบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) (BJC) และกลุ่มบริษัท ไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น จำกัด (TCC) ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โชว์ผลประกอบการสุดแกร่งในไตรมาส 1 ปี 2566 ด้วยรายได้รวม 27,432.9 ล้านบาท เติบโตขึ้น 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

กำไรรวม 931.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139.4 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นถึง 17.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตทั้งรายได้จากการขายสินค้า และรายได้ค่าเช่าและบริการ โดยหลักเนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของร้านค้าในรูปแบบต่างๆ ของบริษัทฯ ภายหลังการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง 

ผลกำไรรวมที่เติบโตถึง 17.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

คุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “BRC” กล่าวว่า ในไตรมาส 1 ของปี 2566 บิ๊กซี รีเทล สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างน่าพอใจ ด้วยผลกำไรรวมที่เติบโตถึง 17.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้รวมที่เติบโตขึ้น 2.8% โดยรายได้หลักกว่า 24,256.0 ล้านบาท หรือ 88.4% มาจากการขายสินค้าที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ทั้งในรูปแบบร้านค้าขนาดใหญ่และขนาดเล็ก และธุรกิจอื่น ๆ

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีรายได้จากค่าเช่าและบริการคิดเป็นสัดส่วน 8.6% ของรายได้รวม ด้วยมูลค่า 2,350.9 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าโฆษณา ค่าบริการจาก Big Service เป็นต้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 3.0% ของรายได้รวม ด้วยมูลค่า 826.0 ล้านบาท ในส่วนของการขยายเครือข่ายร้านค้า บริษัทฯ สามารถขยายได้ถึง 180 แห่ง ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 ส่งผลให้ปัจจุบัน บิ๊กซี รีเทล มีเครือข่ายร้านค้ากว่า 3,184 แห่ง ทั้งในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา

สำหรับผลการดำเนินงานในกลุ่มธุรกิจหลัก กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ มีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 5.8% ในไตรมาส 1 ปี 2566 เมื่อเทียบกับ 2.4% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และจากการมียอดขายจากร้านค้าสำหรับนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้น สอดรับกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่ฟื้นตัว ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 ขณะเดียวกันเครือข่ายร้านค้าในรูปแบบร้านค้าขนาดเล็กของบริษัทฯ ยังมีการขยายตัวให้เข้าถึงพื้นที่ชุมชนได้ครอบคลุมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนแรกของปี 

สำหรับ ธุรกิจค้าส่งและสนับสนุนการค้าปลีกแบบดั้งเดิม มีการปรับกลยุทธ์การขายและการตลาดของบริษัทฯ โดยให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงสำหรับการขายสินค้าแบบ B2B และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าให้แก่ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมภายใต้โมเดลร้านค้าโดนใจ เนื่องจากการขยายเครือข่ายร้านค้าเพิ่มเติม และยอดขายสินค้าให้แก่สมาชิกที่เติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 570.8 ล้านบาท หรือ 324.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในส่วนของ ธุรกิจอื่นๆ มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของยอดขายจากร้านหนังสือเอเซียบุ๊คส เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวและการขายหนังสือภาษาต่างประเทศให้แก่สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ตลอดจนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของยอดขายร้านขายยาสิริฟาร์มา ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นภายหลังการเปิดดำเนินงาน (Ramp-up) ทั้งจากการใช้ประโยชน์จากการขายหน้าร้านอย่างเต็มรูปแบบ และกลยุทธ์การขายที่มุ่งเน้นการขายในปริมาณมากโดยเฉพาะ 

ไตรมาส 2 ของปี 2566 เตรียมเสนอขาย IPO

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีรายได้จากค่าเช่าและบริการสูงขึ้น ทั้งในกลุ่มธุรกิจให้เช่าพื้นที่ (Town Center Business) ในร้านค้าขนาดใหญ่ ร้านค้าขนาดเล็ก และตลาด Open-Air โดยหลักเนื่องจากการทยอยยกเลิกการยกเว้นและส่วนลดค่าเช่าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และการฟื้นตัวของจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการพื้นที่ร้านค้า (Retail Venue) ของบริษัทฯ โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยว ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ค่าเช่าต่อตารางเมตรต่อเดือน (ROS) ในร้านค้าในรูปแบบร้านค้าขนาดใหญ่และตลาด Open-Air ของบริษัทฯ ให้ปรับขึ้นเป็น 872.0 บาท ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 จาก 846.0 บาท ในงวดปี 2565

“สำหรับไตรมาส 2 ของปี 2566 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโต เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยขณะนี้ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวน (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) และอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อก้าวต่อไปของการเปลี่ยนผ่านสู่การเติบโตในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมค้าปลีกและค้าส่งของภูมิภาคอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่และยั่งยืน” คุณอัศวิน กล่าวสรุป

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

3 การเปลี่ยนแปลงสำคัญในวงการ AI จากมุมมอง Andrew Ng ต่อ DeepSeek-R1

DeepSeek-R1 โมเดล AI ใหม่จากจีน กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงเทคโนโลยี หลังเปิดตัวในรูปแบบ Open Weight ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนนำไปพัฒนาต่อได้ พร้อมประสิทธิภาพที่เทียบเคียงกับ Ope...

Responsive image

OR แต่งตั้ง 'หม่อมหลวงปีกทอง' เป็น CEO คนใหม่ เดินหน้าปั้นไทยสู่ศูนย์กลางธุรกิจน้ำมันในภูมิภาค

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ประกาศแต่งตั้ง หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนใหม่ พร้อมเปิดวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนองค์กรผ่าน...

Responsive image

ธปท. ออก 3 มาตรการใหม่ กวาดล้างบัญชีม้า ปิดช่องโหว่ภัยมิจฉาชีพ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เดินหน้ายกระดับมาตรการป้องกันภัยทุจริตทางการเงิน โดยเฉพาะการจัดการบัญชีม้า เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการฉ้อโกงทางการเงิน...